The Girl On The Train

​

ค่อนข้างผิดหวังในหลายๆแง่ หนังมันเอื่อยเกินไป บทเฉลยก็เฉยเกินไป

เริ่มแรกเริ่มที่การแสดง เราเฉยๆมาก ทั้งตัวละครหญิงสามตัว และตัวละครชายอย่างสามี การแสดงของฝ่ายชายเข้าขั้นจืดชืด ไร้เสน่ห์ ส่งผลให้บทเฉลยหนังเรื่องนี้จืดชืดไปตามๆกัน หรือเอมิลี่ บลันท์ที่หลายคนบอกแสดงดีนักดีหนา เรากลับขำเฉย น่าจะเพราะตัวบทด้วยที่ไม่สร้างอารมณ์พอให้กับการแสดงของเธอ เพราะพอมานึกดูฉากที่เธอเล่นเธอทำได้ดีนะ แต่ฉากแสงสีเสียงการตัดต่อไม่เป็นใจให้เธอเอาซะเลย พอดูๆไปกลายเป็นตลกซะงั้น

หนังแนวหักมุมผู้หญิงตัวหลักเคยมีอยู่แล้วมันยิ่งทำให้เราคาดหวังที่จะได้อะไรมากกว่านั้น แต่อันนี้ประเด็นที่จะพูดถึงดีนะ เราชอบเลยแหละ ตอนจบสุดท้ายเลยก็ชอบนะ แต่ที่เรื่องนี้สอบตกน่าจะการดำเนินเรื่องตลอดมา การตัดต่อ แล้วก็จุดเฉลยซึ่งดูไม่แบบ เห้ยยย ทั้งๆที่มันทำได้ แต่การตัดต่อทำให้เรารู้สึก เอ้า อย่างนั้นเองเหรอ

​

ถ้าคิดว่าทนหนังเอื่อยได้ เรื่องนี้ก็น่าดูอีกเรื่องเพราะประเด็นที่มันเสนอ ไม่ได้สนุกตื่นเต้นทั้งเรื่องแบบ Gone Girl แต่พอดูจบก็ยังจดจำได้บ้างอยู่ ไม่ใช่หนังที่ must watch เอาเป็นว่าถ้าว่างๆมีเวลาก็น่าดูฆ่าเวลาได้ดีเหมือนกันแหละ

ตอนที่กระแสหนังเรื่องนี้เริ่มมา ก็มีคนนำไปเปรียบเทียบกับ Gone Girl หลายๆคน เนื่องจากว่าเนื้อเรื่องรวมๆจะเป็นแนวสืบสวนและระทึกขวัญ และมีหักมุม ดูคล้ายกันในหลายๆจุด

Gone Girl จะดำเนินเนื้อเรื่องทั้งหมดผ่านทางสองสามีภรรยา เน้นในเรื่องของปมชีวิตคู่ซะมากกว่า แต่ The Girl on the Train จะดำเนินเรื่องราวผ่านผู้หญิงสามคน และไปเน้นในเหตุลึกลับที่เกิดขึ้นมากกว่าปัญหาชีวิตคู่ มันเลยดูเป็นหนังแนวๆเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว

เรื่องหลักๆจะถูกเล่าผ่านผู้หญิงสามคนค่ะ เรเชล (สาวขี้เหล้าที่ยังซึมเศร้าจากการหย่า), แอนนา (ภรรยาใหม่ของสามีเก่าเรเชลที่มีลูกอ่อน), และเมแกน (หญิงสาวที่พักอยู่บ้านข้างๆแอนนา) นอกจากผู้หญิงสามคนนี้ ก็ยังมีบทบาทของผู้ชายอีกสามคนด้วย ซึ่งทุกตัวละครในเรื่องจะผูกหรือสัมพันธ์กันอย่างไร และเกิดประเด็นหลักอะไรในเรื่อง ก็ต้องไปติดตามชมค่ะ

ช่วงที่บอกที่มาที่ไปของตัวละคร กับช่วงที่เริ่มเข้าสู่การเฉลยปมเรื่อง หนังจะมีการสลับไปสลับมา ส่วนตัวคิดว่าตรงจุดนี้ ถ้าเกิดว่าสมาธิหลุดคืองงยาวเลย กว่าจะแยกตัวละครออก หรือรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกทีก็เกือบจะกลางเรื่องแล้ว

ในส่วนของเนื้อเรื่อง The Girl on the Train ส่วนตัวคิดว่าโอเคค่ะ ถ้าหากดูแบบไม่คิดอะไรก็นับว่าสนุกดี แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบสไตล์ลึกลับนี่น่าจะผิดหวังอยู่ เพราะด้วยความที่เรื่องมันต้องการออกมาให้ดูลึกลับ แต่กลับไม่ค่อยมีปมอะไรที่น่าสนใจเลย มันทำให้เดาตอนจบได้ง่ายพอสมควร เลยกลายเป็นเรื่องที่ดำเนินไปอย่างราบๆ แทบไม่มีจุดพีค และไม่มีอะไรมาหลอกล่อคนดูให้ตายใจเท่าไหร่

Gone Girl หนังแนวสืบสวนระทึกขวัญหักมุมอันโด่งดังเป็นการปลุกกระแสหนังแนวนี้ให้ค่อยๆตามออกมากันเป็นพรีดคล้ายกับหนังฮีโร่อันเกลื่อนกลาดในยุคนี้ซึ่งนับว่าเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับทางค่ายที่ต้องทำให้ถึงหรือเหนือกว่าในระดับ Gone Girl ทำเอาไว้

ใจจริงก็ไม่อยากจะเอาไปเปรียบเทียบกับ Gone Girl สักเท่าไหร่แต่ด้วยโทนของหนังการดำเนินเรื่องและอะไรหลายๆอย่างชวนให้ภาพของหนังเรื่องนั้นแวบเข้ามาในหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การที่จะให้คนดูไม่ติดภาพจำจึงเป็นเรื่องที่ยากโข

มุมมองของสามสาวตัวละครที่ถูกแบ่งสันปันส่วนได้อย่างลงตัวแต่กลับถูกทำลายสิ้นในช่วงกลางเรื่องโดยการเทน้ำหนักไปที่ตัวละครตัวเดียวอะไรหลายอย่างเลยดูขาดๆเกินๆไปหน่อย

การแสดงของ Emily Blunt นั้นไม่ต้องสืบถึงความเก่งกาจแต่ความเก่งกาจนั้นกลบอีกสองสาวที่เหลือซะมิดต่อให้อยู่ร่วมฉากเดียวกันแต่จำอีกสองนางที่เหลือไม่ได้เลย

บทสรุปของหนังเดาง่ายไปนิดทั้งที่หวังจะหักมุมแบบอ้าปากหวอแต่กลับไม่ได้สร้างความตื่นตะลึงมากมายนักเพราะปมที่หนังบรรจงหยอดมาตั้งแต่ต้นเรื่องทำให้คนดูคาดเดาตอนจบได้ทั้งหมด

6/10 หากเป็นการดูเอาสนุกโดยไม่มีหนังเรื่องไหนมาบดบังนี่จัดเป็นหนังที่ดูตื่นเต้นเอาเรื่องอยู่ไม่น้อยอีกนัยนึงคือนักแสดงชายในเรื่องดีงามกินได้ทุกคน