James

ในความคิดเห็นของผมฮัลล์ชตัทท์เป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะไปกับบริษัททัวร์ครับ เพราะว่าถ้าเราไปกับบริษัททัวร์ เราจะไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลยนอกจากเดินเล่นและถ่ายรูป ซึ่งจริง ๆ แล้วหลาย ๆ เมืองที่มีชื่อเสียงมักไม่ได้มีกิจกรรมแค่นั้น และฮัลล์ชตัทท์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแต่อย่างใด เพราะฮัลล์ชตัทท์มีทั้งกิจกรรมการปั่นจักรยานไปรอบ ๆ ทะเลสาบ การเดินทางไกล การปีนเขา พายเรือ เล่น Paragliding และอื่น ๆ อีกมากมาย

ช่วงที่ผมเดินทางไปฮัลล์ชตัทท์นั้นตรงกับฤดูหนาว บริเวณหมู่บ้านบรรยากาศก็จะดูครึ้ม ๆ หน่อย ในบางจุดก็จะยังพอมีหิมะหลงเหลืออยู่บ้าง ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยว ฮัลล์ชตัทท์คงเป็นที่ที่เงียบสงบและเหมาะแก่การพักผ่อนมาก แต่เผอิญมันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะครับ เนื่องจากค่อนข้างเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าไปเที่ยวออสเตรียแล้วไม่ไปฮัลล์ชตัทท์ก็เหมือนไปไม่ถึง เลยทำให้ที่นั่นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน ! (จีนถึงกับ Copy ฮัลล์ชตัทท์ไปสร้างที่ประเทศตัวเอง !)

ถ้าเราไปฮัลล์ชตัทท์แล้วทำได้เพียงแค่ไปเดินเล่นละก็ถ่ายรูป ก็คงต้องบอกว่าไม่คุ้ม และไม่ค่อยได้อารมณ์มากนัก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแนว ๆ ที่เหมือนกับโคลอสเซียม หอเอนเมืองปีซ่า หรือพวกพระราชวังต่าง ๆ คือมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานเหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้วการเดินเล่นที่ฮัลล์ชตัทท์ มันไม่ได้ให้อารมณ์เท่าสถานที่เหล่านั้น ที่เคยมีบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวข้องอยู่

อาหารที่นั่นก็ใช้ได้ครับ แต่รสชาติจะออกแนวจืด ๆ หน่อย อาจไม่ถูกปากชาวไทยบางคน

ด้านล่างนี้เป็นวีดีโอแนะนำฮัลล์ชตัทท์

ค่อนข้างผิดหวังครับเมื่อไปเห็นของจริง เพราะในความเห็นของผมปราสาทนอยชวานสไตน์ไม่ได้สวยเท่ากับในภาพที่เห็นตาม Website ต่าง ๆ เลย คือไม่ได้บอกว่ามันไม่สวยเอาซะเลยนะครับ เพียงแค่มันไม่ได้สวยแบบที่หวังไว้เท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกครับว่าเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว


เราต้องลงจากรถตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้าน Hohenschwangau ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของภูเขาที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ตั้งอยู่ครับ เพราะด้านบนนั้นรถทั่วไปขึ้นไปไม่ได้ ตั๋วเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์ซื้อได้ที่ Ticketcenter Hohenschwangau ซึ่งก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้แหละ ก่อนไปแนะนำให้ดูข้อมูลเพิ่มเติมตรงนี้ก่อนนะครับ Neuschwanstein Hotels&Events: Ticket Center

วิธีการขึ้นไปบนปราสาทมีหลายวิธีเช่น เดินขึ้นไป ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็เป็นการเดินขึ้นเขาซะด้วย แต่ไม่น่ามีปัญหาสำหรับวัยรุ่นครับ



หรือใครไม่อยากเหนื่อยจะขึ้นไปโดยวิธีนั่งรถม้าหรือรถบัสไป ทางปราสาทก็มีให้บริการอยู่ ละพอขึ้นไปถึงด้านบน พวกกระเป๋าสัมภาระอะไรต่าง ๆ นานาไม่สามารถเอาเข้าไปในตัวปราสาทได้นะครับ รวมถึงห้ามถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอด้วย เพราะฉะนั้นใครที่มีของมีอะไรก็เอาทิ้งไว้ที่รถดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องแบกขึ้นไปเสียเวลา



สำหรับผม สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าตัวปราสาทเห็นจะเป็นวิวรอบ ๆ ปราสาทที่เราจะสามารถมองเห็นทั้งตอนนั่งรถเข้าไปบริเวณหมู่บ้าน Hohenschwangau และตอนอยู่บนตัวปราสาท เพราะปราสาทนอยชวานสไตน์ตั้งอยู่บนเขาเมื่อมองลงมาจึงเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามทั้งทุ่งหญ้าและทะเลสาบที่เงียบสงบ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจในการไปเยือนนอยชวานสไตน์เห็นจะเป็นสิ่งเหล่านี้มากกว่าครับ (Click อ่านต่อ เพื่อชมรูปภาพเหล่านั้น)



อ่านต่อ...

ในช่วงเวลาที่ผมเดินทางไป กรุงเวียนนาไม่ได้เงียบสงบเท่าใดนัก แต่คนก็ไม่ได้พลุกพล่านมากมายจนน่ารำคาญครับ สภาพบ้านเมืองก็สะอาดสะอ้านดี แต่ว่าบริเวณวิหาร St. Stephen ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเวียนนาเลย จะเหม็นขี้ม้านิดหน่อย เพราะว่าตรงนั้นมีรถม้าจอดรอให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่เยอะมาก บางทีม้าก็จะถ่ายเลอะเทอะ คนขับรถม้าก็จะเอาน้ำราด เพื่อล้างสิ่งปฏิกูล แต่กลิ่นมันไม่ได้หายไปด้วยครับ ม้าแต่ละตัวก็จะตัวใหญ่มาก บางตัวอาจสูงแตะ ๆ 2 เมตรเลยครับ



สำหรับคนที่อยากนั่งรถม้าชมเมืองเวียนนาก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีครับ ราคาก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าเราจะนั่งนานขนาดไหน

พูดถึงตัววิหาร St. Stephen กันสักหน่อยครับ วิหารแห่งนี้มันใหญ่และก็สูงมาก ๆ ครับ ถ้าอยากได้รูปคู่กับวิหารแห่งนี้แบบเต็ม ๆ ต้องถอยออกมาห่าง ๆ จากตัววิหารหน่อย เพราะตัวหอคอยสูงถึง 100 เมตร ละผมคิดว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นบริเวณที่มีคนพลุกพล่านที่สุดในเวียนนาแล้วครับ

อย่างพระราชวังเชินบรุนน์ Schönbrunn Palace, Austria ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเช่นกัน คนก็ไม่ได้พลุกพล่านเท่านี้

อีกหนึ่งสถานที่ที่คนไปเวียนนาน่าจะต้องไปก็คือพระราชวัง Hofburg ครับ เพราะพระราชวังแห่งนี้เป็นวังหลวงของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จุคนได้ถึง 4,900 คน และตอนนี้ก็เป็นทำเนียบประธานาธิบดีของออสเตรียด้วย

ภายในเวียนนาเรายังจะเห็นร่องรอยของโมสาร์ทอยู่ด้วยครับ เพราะถึงแม้โมสาร์ทจะเกิดที่ Salzburg แต่ชีวิตช่วงหนึ่งเขาก็ได้เข้ามาอยู่ในกรุงเวียนนาแห่งนี้ ดังนั้นตามสวนสาธารณะจะยังพบกับรูปปั้นโมสาร์ทอยู่

โดยรวมก็ประมาณนี้ครับ เป็นเมืองที่เน้นการเที่ยวแบบชมเมือง ชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่มีกิจกรรมอย่างอื่นครับเท่าที่ผมรู้



อ่านต่อ...

Salzburg เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก ๆ ครับ อากาศดีมาก ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ไม่วุ่นวาย แล้วก็เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ทั้งปราสาทราชวัง โบสถ์ และ Salzburg นี่แหละที่เป็นบ้านเกิดของ Wolfgang Amadeus Mozart นักประพันธ์เพลงคลาสสิกชื่อก้องโลก นอกจากนี้ย่านเมืองเก่าของที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO อีกด้วย



ตอนนั่งพักชมวิว หรือตอนนั่งรถใน Salzburg การฟังเพลงของโมสาร์ทไปด้วย ก็ช่วยสร้างบรรยากาศได้ไม่น้อยนะครับ



สถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยในการไปเยือน Salzburg ก็คือ ป้อมโฮเฮนซาลซ์บวร์ก (Hohensalzburg Fortress) ซึ่งถือเป็น Landmark สำคัญของ Salzburg เลยก็ว่าได้ครับ แต่ละปีสถานที่แห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นล้าน ๆ คนเข้ามายัง Salzburg เวลาเปิด-ปิดของที่นี่ต่างกันไปนะครับในแต่ละเดือน โดยเดือนมกราคม – เมษายน และเดือนตุลาคม – ธันวาคม จะเปิด 9.30 - 17.00 น. ส่วนในเดือนพฤษภาคม, มิถุนายน, กันยายน รวมถึงวันหยุดสำคัญทางศาสนา จะเปิด 9.00 – 18.00 และในเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม จะเปิดเวลา 9.00 – 19.00 น.

สถานที่ต่อไปที่ควรไปหากมีโอกาสไปเยือน Salzburg ก็คือบ้านโมสาร์ทครับ แต่เอาจริง ๆ สำหรับตัวผม ผมว่าไม่ค่อยมีอะไรนะตรงจุดนั้น บ้านโมสาร์ทก็จะลักษณะคล้าย ๆ ตึกแถวสีเหลือง ๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรครับ แต่ข้างในรู้สึกจะเป็นพิพิธภัณฑ์นะครับ แต่มันก็คงจะสนุกแหละครับสำหรับใครที่ชื่นชอบดนตรีและชื่นชอบในตัวของโมสาร์ท

อีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือพระราชวังมิราเบลล์ เพราะว่าสวนของที่นี่สวยมาก สวยจนภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องหนึ่งของ Hollywood ชื่อ “The Sound of Music” ต้องใช้เป็นฉากในการถ่ายทำ

โดยรวมแล้ว Salzburg โอเคมาก ๆ ครับ ทั้งความสวยงามของบ้านเมืองที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับธรรมชาติ ระบบขนส่งมวลชน ที่สะดวกสบาย อีกทั้งผู้คนก็น่ารักและที่สำคัญเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยทีเดียวครับ





อ่านต่อ...

ส่วนตัวผมคิดว่าแฟรงก์เฟิร์ตไม่ค่อยมีอะไรนะ ค่อนข้างธรรมดาครับ แล้วแฟรงก์เฟิร์ตก็ไม่ใช่เมืองที่เงียบสงบ แต่มีลักษณะเป็นเมืองสมัยใหม่ มีความทันสมัย มีตึกสูง เพราะแฟรงก์เฟิร์ตเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและการเงินของเยอรมนีและยุโรป สำนักงานใหญ่ของธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) หรือ ECB ก็ตั้งอยู่ในแฟรงก์เฟิร์ตนี่แหละ

ถึงแม้จะเป็นเมืองใหญ่แต่ก็พอมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง อย่างเช่น Frankfurt Cathedral โบสถ์สไตล์กอทิก ซึ่งตัวหอคอยมีความสูงกว่า 95 เมตร โบสถ์แห่งนี้ถูกบูรณะขึ้นใหม่ภายหลังจากที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2

จัตุรัสเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในแฟรงก์เฟิร์ต


นอกจากนี้ภายในเมืองแฟรงก์เฟิร์ตก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งด้วยกัน เช่น พิพิธภัณฑ์ Städel ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับงานศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ Senckenberg ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับซากสิ่งมีชีวิตอย่างงูอนาคอนด้า ไดโนเสาร์ แมมมอธ เป็นต้น ผู้ที่สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ทั้ง 2 แห่งได้ที่ http://www.staedelmuseum.de/de และ SENCKENBERG world of biodiversity | Home ตามลำดับ

สำหรับคนที่ชอบช็อปปิ้ง แฟรงก์เฟิร์ตก็มีย่านที่เรียกว่า The zeil ซึ่งเป็นโซนช็อปปิ้งอยู่ ในบริเวณนั้นคนจะค่อนข้างหนาตา ใครที่มองหาของฝากก็หาซื้อแถวนั้นได้ครับ มีร้านที่ราคาไม่แพงมากอยู่ ไส้กรอกและเบียร์ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเยอรมันก็ราคาถูกมาก แต่รสชาติไม่ได้ถูกตามนะครับ ใครไปเยอรมันแนะนำว่าห้ามพลาดเลยครับ 2 อย่างนี้ โดยเฉพาะไส้กรอก ตอนเคี้ยวมันจะกรุบ ๆ กรอบ ๆ บอกไม่ถูกครับ ต้องลองเอง

เดินเล่นกันนาน ๆ อาจหิวได้ บริเวณนั้นก็มีร้าน Fast food ที่ราคาสบายกระเป๋าอยู่ ใครที่ขี้เกียจแบกไส้กรอกกลับบ้านก็ลองกินไส้กรอกรูปแบบต่าง ๆ ได้ที่ร้านแถวนั้นเลยก็ได้ครับ



อ่านต่อ...

ตอนแรกยอมรับเลยว่าค่อนข้างรู้สึกเฉย ๆ มากกับหอไอเฟล เพราะจากในภาพถ่ายมันดูเป็นสถานที่ที่ธรรมดามาก แต่พอได้ไปเห็นของจริงจึงได้รู้ว่าหอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่มาก ของจริงกับในรูปนี่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยครับ

กรุงปารีสเมื่อมองจากชั้น 2 ของหอไอเฟล ดูภาพเพิ่มเติม Click อ่านต่อ


บริเวณหอไอเฟลนั้นแน่นอนว่าต้องมีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของประเทศฝรั่งเศส ทางการฝรั่งเศสก็เลยต้องให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย ฉะนั้นถ้าใครเดินทางไปก็อาจเจอทหารฝรั่งเศสเดินถือปืนลาดตระเวนอยู่บริเวณหอไอเฟลครับ

สำหรับคนที่ไปถึงหอไอเฟลแล้วลังเลว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นไปด้านบนดี ผมแนะนำว่าขึ้นไปดีกว่าครับ เพราะวิวข้างบนสวยมาก ๆ แต่ก่อนจะขึ้นไปได้แน่นอนก็ต้องผ่านด่านเรื่องการซื้อตั๋วก่อน ตรงนี้บอกเลยว่าคนเยอะมาก ๆ แนะนำให้จองผ่านเว็บไซต์ก่อนไปเที่ยวเลยดีกว่าครับสะดวกกว่ากันเยอะ

ด้านบนหอไอเฟลก็จะมีห้องน้ำอยู่ครับ แต่ว่าคิวจะยาวมาก ๆ โดยเฉพาะห้องน้ำผู้หญิงนะครับ ถ้าเป็นไปได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนไปเที่ยวที่หอไอเฟลจะดีที่สุดครับ

หอไอเฟลจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน ขึ้นไปได้ 2 วิธีคือ ขึ้นลิฟต์ หรือ เดินขึ้นบันได เลือกเลยครับแล้วแต่ชอบ ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีภัตตาคาร จุดแสดงโชว์ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะนิยมขึ้นไปถึงแค่ชั้น 2 เพราะแค่นั้นวิวก็สวยมาก ๆ แล้ว แต่ถ้าใครคิดว่าไหน ๆ ก็ขึ้นแล้วขอขึ้นให้สุดเลยแล้วกัน อันนี้ก็แล้วแต่ใจเลยครับ ชั้นบนสุดหรือ “At the top” รู้สึกจะมีไวน์บาร์ และมีออฟฟิศรวมถึงโมเดลชั้นบนสุดของหอไอเฟลอยู่

เรื่องของที่ระลึกนอกจากซื้อได้ด้านบนหอไอเฟลแล้ว ด้านล่างหอไอเฟลจะเป็นพ่อค้าผิวสีทั้งหลาย ที่จะขายราคาแพงกว่าปกตินิดหน่อย ปกตินี้หมายถึงสถานที่อื่น ๆ ในปารีสนะครับ ไม่ได้หมายถึงด้านบนหอไอเฟล



อ่านต่อ...

การไปเที่ยวพระราชวังเชินบรุนน์นั้นอารมณ์เหมือนเราไปเที่ยววัดวาอารามอะไรประมาณนั้น แต่ก็ถือว่าใช้ได้ครับในแง่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

เมื่อเดินทางถึงพระราชวังแล้ว จะเห็นว่าบริเวณด้านหน้าของพระราชวัง จะเป็นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านนิดหน่อย ใช่แล้วครับ เพราะว่าบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกัน เนื่องจากตรงนั้นเป็นจุดที่เราสามารถได้ภาพของพระราชวังเชินบรุนน์เหมือนในแบบที่เราเห็นตามภาพในเว็บไซต์หรือในหนังสือท่องเที่ยวเลยครับ



เมื่อเข้าไปด้านในก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายประวัติความเป็นมาและความสำคัญของห้องต่าง ๆ ภายในพระราชวัง ในช่วงนี้ก็มีความตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อยครับสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ เพราะพระราชวังดังกล่าวในอดีตนั้นเคยเป็นสถานที่ประทับของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่เคยมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการเมืองยุโรปช่วงประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา

สมาชิกราชวงศ์ฮับส์บูร์กที่สำคัญ ๆ ซึ่งคนไทยน่าจะคุ้นชื่อกันดีก็คงหนีไม่พ้นพระนาง มารี อองตัวแนตต์ ราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งจริง ๆ แล้วพระนางเป็นคนออสเตรีย เติบโตมาในพระราชวังเชินบรุนน์แห่งนี้ ซึ่งภายในพระราชวัง มีหลาย ๆ ห้องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระนาง

นอกจากนี้ สิ่งที่เชินบรุนน์มีเพิ่มเติมจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทั่ว ๆ ไปก็คือสวนของพระราชวังที่มีความสวยงามมากครับ ประกอบกับช่วงเดือนธันวาคมอากาศก็ดีมาก สามารถเดินเล่น ถ่ายรูปกันได้อย่างสบายใจ

บริเวณด้านหลังพระราชวังก็จะมีสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงอยู่ ห่างออกไปด้านหลังเกือบ 1 กิโลเมตรได้ก็มีเนินเขาลูกเล็ก ๆ ตั้งอยู่ หลาย ๆ คนก็นิยมเดินไปจนถึงบริเวณนั้นกันเลยทีเดียว



อ่านต่อ...

อย่างที่ทราบกันดีว่าสโลวาเกียเป็นประเทศที่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์มาก่อน ดังนั้นบรรยากาศในเมืองมันก็จะดูค่อนข้างอึมครึมนิดนึง แม้กระทั่งในเมืองหลวงอย่างบราติสลาวา ก็จะดูเงียบ ๆ คนจะไม่ค่อยพูดค่อยจา เพราะเดาว่าอาจติดเป็นบุคลิกกันมาตั้งแต่สมัยที่ประเทศเคยเป็นคอมมิวนิสต์ คือว่ายุคนั้นถ้าพูดมาก อาจถูกรัฐบาลเล่นงานเอาได้ครับ

ดูภาพอื่น ๆ Click "อ่านต่อ"


สภาพบ้านเรือนหลายจุดก็จะดูร้าง ๆ ดูโทรม ๆ หน่อย เหมือนเมืองผีดิบเลยครับ เดิน ๆ อยู่ก็นึกถึงแดร็กคูล่าไปด้วย ตามกำแพง ตามสะพานจะมีรอยที่มือดีพ่นสีไว้เต็มไปหมด ข้างทางมีแต่ป่าพง พุ่มไม้ต่าง ๆ นานา ไม่ได้มีความสวยงามเหมือนประเทศในยุโรปประเทศอื่น ๆ แถมมีช่วงหนึ่งตอนนั่งรถแอบเห็นว่าข้างทางมีคนถือปืนเดินอยู่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่นะ

ร่องรอยความเป็นยุโรปก็พอมีอยู่บ้างครับ เช่น ยังเห็นระบบขนส่งมวลชนแบบรถรางซึ่งสภาพค่อนข้างดีอยู่ เวลารอข้ามถนนตรงทางม้าลายรถยนต์ก็ยังจอดให้อยู่ครับ ส่วนรถไฟใต้ดินผมไม่แน่ใจว่ามีมั้ยนะ เนื่องจากแค่แวะไปเลยไม่ได้มีโอกาสศึกษาอะไรมากมาย แต่ให้น้ำหนักไปทางว่าไม่มีมากกว่า เพราะเท่าที่รู้เหมือนบราติสลาวาเคยมีโครงการจะทำรถไฟใต้ดินแต่มันไม่เสร็จ ก็เลยถูกปล่อยทิ้งร้างไปประมาณนั้นนะครับ

ถึงแม้ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั้นมันจะฟังดูไม่ดี แต่ผมคิดว่าบราติสลาวาก็ยังมีเสน่ห์ของมันอยู่ครับ ก็คือมันเหมือนเป็นตัวแทนที่ทำให้เราได้เห็นอีกฟากหนึ่งของยุโรป ซึ่งก็คือยุโรปตะวันออก ว่าเขามีวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ยังไง เพราะโซนถัดจากสโลวาเกียไปก็จะประมาณนี้กันหมด ไม่ได้ให้อารมณ์แบบอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ฯลฯ อะไรอีกแล้ว



อ่านต่อ...

เมืองเชสกี้ครุมลอฟตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐเช็ก เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีจุดเด่นที่ “ความเงียบสงบ” เนื่องจากเชสกี้ครุมลอฟเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ มีประชากรรวมแล้วแค่หมื่นกว่าคน แต่เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ แสดงว่าต้องมีของดีแน่นอนครับ



เชสกี้ครุมลอฟโด่งดังจากย่านเมืองเก่าที่มีความสวยงาม จุดหนึ่งที่สามารถเก็บภาพที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเราได้มาถึงเชสกี้ครุมลอฟแล้ว เหมือนไปปารีสแล้วต้องไปถ่ายรูปกับหอไอเฟลประมาณนั้น ก็คือบน “ปราสาทครุมลอฟ” ซึ่งถ้าเราขึ้นไปยืนอยู่บนปราสาทครุมลอฟแล้วมองลงมา จะเห็นบ้านเรือนทุกหลังที่จะมีหลังคาเป็นสีส้ม ๆ แดง ๆ ซึ่งถือเป็น Landmark สำคัญของเชสกี้ครุมลอฟ ซึ่งอันนี้แน่นอนว่าต้องไปตอนกลางวันนะครับ ถ้าไปตอนกลางคืนมันจะมองไม่ออก เพราะแสงไฟมันแทบจะทำให้ทุกอย่างกลมกลืนเป็นสีเดียวกันไปหมดครับ

การเดินเล่นในเมืองก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีครับ เพราะว่าสถาปัตยกรรมภายในเมืองนั้นจะมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ และประกอบกับเชสกี้ครุมลอฟไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรเดินแปบ ๆ ก็ทั่วแล้ว อีกอย่างเมืองเชสกี้ครุมลอฟยังมีแม่น้ำวัลตาวาไหลผ่าน ทำให้ช่วยสร้างบรรยากาศในการเดินเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ ก็มีอยู่ครับ อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเชสกี้ครุมลอฟเป็นเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ก็เลยมีกิจกรรมทางน้ำรองรับนักท่องเที่ยวอยู่ทั้งพายเรือเล่น ล่องแก่ง ฯลฯ คงจะพอถูกอกถูกใจคนที่ชอบความตื่นเต้นพอสมควรครับ






อ่านต่อ...

อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำคัญในการเดินทางไปที่อิตาลีของหลาย ๆ คนก็คือเมืองเวนิส ซึ่งเมืองเวนิสช่วงเดือนธันวาคมนั้นนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเลยทำลายบรรยากาศความโรแมนติกไปมากทีเดียว แต่เวนิสก็ยังคงเป็นเวนิส เพราะก็ยังมีบางมุมที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนักและยังมีความโรแมนติกเต็มเปี่ยมอยู่

ดูรูปอื่น ๆ กรุณา Click "อ่านต่อ" ครับ


เวนิสมีทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่และส่วนที่เป็นเกาะ วิธีการเดินหลักเมื่อเราข้ามไปยังส่วนที่เป็นเกาะนั้นจะใช้เรือเป็นส่วนใหญ่ แต่ก่อนที่จะข้ามไปถึงส่วนที่เป็นเกาะได้ ผมก็ต้องนั่งเรือไปเหมือนกัน ซึ่งบรรยากาศตอนนั่งเรือบอกได้เลยว่าสุดยอดมาก ลมทะเลเย็น ๆ ในฤดูหนาวกับวิวพระอาทิตย์ตกดินบนดาดฟ้าเรือนั้นเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริง ๆ

อีกสิ่งที่พลาดไม่ได้ในการไปเวนิสก็คือการไปนั่งเรือกอนโดลา การนั่งเรือกอนโดลานั้นเหมือนเราได้ชมวิถีชีวิตของชาวเวนิสไปด้วยในตัว เพราะเขาจะพายเรือพาเราเข้าไปตามคลองเล็กคลองน้อยที่เปรียบเสมือนตรอกซอกซอยต่างๆ ทำให้เราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับชาวเวนิสมากขึ้น

น้ำทะเลที่เวนิสก็จะเป็นสีฟ้าสวยงามและถ้าลองเอามือจุ่มดูก็จะพบว่าน้ำเย็นมาก ๆ แต่บางคนก็กลัวนะครับตอนนั่งเรือ กลัวจนแทบไม่มีอารมณ์ทำอะไร เพราะก่อนที่เขาจะพาเข้าคลองเล็กคลองน้อย มันก็ต้องผ่านทะเลใหญ่ก่อนซึ่งเป็นที่ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่ พอเรือมันเจอคลื่นใหญ่ ๆ ก็จะโคลงเคลงนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลครับเพราะพี่ ๆ ลุง ๆ คนพายเรือเขาโปรกันมาก การเข้าโค้งการควบคุมเรือต่าง ๆ บอกเลยว่าสมแล้วที่เป็นมืออาชีพ แต่ว่าค่าเรือก็แพงมากเหมือนกันนะครับ

ส่วนเรื่องห้องน้ำห้องท่าถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็เดินเข้าร้านกาแฟเลยครับ ซื้อกาแฟซักแก้วแล้วก็ขอเขาเข้าห้องน้ำเลยครับ



อ่านต่อ...