James

ถ้าไปเที่ยวจังหวัดลำปาง สถานที่เดียวที่ผมคิดว่าคุ้มสำหรับการมุ่งหน้าไปก็คือ "อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน" นี่แหละครับ เพราะว่าค่อนข้างเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่พอสมควร มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ทั้งเล่นน้ำตก แช่น้ำแร่ ต้มไข่จากบ่อน้ำแร่ เดินป่า/เดินทางไกลศึกษาธรรมชาติ ฯลฯ พูดแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ option เยอะนั่นเอง



อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนตั้งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอเมืองลำปางมากนัก วันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนที่อยู่ในเมืองจึงมักขับรถออกไปพักผ่อนกันที่นั่นครับ



จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ก็คือ “น้ำตก” ที่ค่อนข้างมีพื้นที่ให้เล่นน้ำมากเลยทีเดียว ตัวน้ำตกจริง ๆ มีถึง 6 ชั้น การที่จะเดินขึ้นไปถึงชั้น 6 ได้นั้นก็อาจจะเหนื่อยนิดหน่อยครับ (สำหรับผู้ที่มีอายุหน่อยก็อาจจะเหนื่อยมากเลยแหละ) เพราะทางขึ้นค่อนข้างชัน แต่ว่าปลอดภัยดี



จะสังเกตเห็นว่าถึงแม้ทางขึ้นจะค่อนข้างชัน แต่ก็มีความปลอดภัยมากครับ


คนที่ชอบเล่นน้ำ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเล่นได้แค่ชั้น 1 ชั้น 2 แล้วก็ชั้น 6 เลย (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

กิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการเล่นน้ำตกก็คือ การได้ไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งก็จะมีค่าบริการครับ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่ไม่แพงมากแน่นอน นอกจากนั้นก็ยังสามารถซื้อไข่ไปต้มกับบ่อน้ำพุร้อนได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมยอดฮิตอีกเหมือนกัน



หลาย ๆ ครอบครัวเลือกที่จะเตรียมเสื่อและอาหารไปรับประทานบริเวณข้างลำธารที่ไหลมาจากน้ำตก ฟังเสียงนกเสียงไม้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีครับ แต่ด้านในอุทยานไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปนะครับ

ที่จอดรถก็ถือว่าโอเค มีให้จอดอย่างเพียงพอ แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลอาจจะแน่นนิดหน่อย ห้องน้ำห้องท่าก็สะอาดดีครับ

ลืมบอกไปอีกอย่างว่าที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนมีบริการนวดแผนไทยด้วยนะครับ ลองไปนวดกันได้ สบายตัวมาก ๆ เลย




อ่านต่อ...

หลายคนบอกว่าน้ำตกวังแก้วเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในจังหวัดลำปาง ผมเองก็เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ



น้ำตกวังแก้วเป็นหนึ่งในสองน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดลำปาง (อีกแห่งคือน้ำตกแจ้ซ้อน) แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้หรอกว่าน้ำตกวังแก้วสวยกว่าจริง ๆ ไหม ที่สามารถทำได้ก็คือ ชี้ให้เห็นจุดเด่นของน้ำตกวังแก้ว แล้วให้ท่านผู้อ่านเอาไปเปรียบเทียบกับน้ำตกแจ้ซ้อนเอาเองนะครับว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน



น้ำตกวังแก้วนั้นจะโดดเด่นในเรื่องของความสงบ เพราะน้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองลำปาง ทำให้ไม่ได้เป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ในการไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนก็เลยจะไม่ค่อยจอแจมากนัก นักท่องเที่ยวอย่างเราก็จะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม (ในฤดูท่องเที่ยว/ตอนช่วงปิดเทอมของเด็กนักเรียน อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวหนาตามากกว่าปกติ)



ในเรื่องของพื้นที่ในการเล่นน้ำ น้ำตกวังแก้วไม่ได้มีพื้นที่ให้เล่นน้ำมากเท่ากับน้ำตกแจ้ซ้อน

ส่วนในเรื่องกิจกรรมที่สามารถทำได้ที่น้ำตกวังแก้ว นอกจากเล่นน้ำตกแล้ว เห็นว่าที่น้ำตกวังแก้วก็มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ และยังมีลานกางเต็นท์ไว้ให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมอีกด้วย

จุดที่น่าสนใจอีกอย่างของน้ำตกวังแก้วก็คือ จำนวนชั้นของน้ำตกที่มีมากกว่า 100 ชั้น ซึ่งแน่นอนว่าทางเดินขึ้นค่อนข้างชัน ใครที่คิดจะเดินขึ้นไปก็ต้องระมัดระวังหน่อยครับ ผู้สูงอายุควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่า

วิวข้างทางระหว่างที่กำลังเดินทางไปน้ำตกวังแก้ว

หากมองจากภายนอก โรงแรม Tsix5 ดูเป็นโรงแรมที่หรูหราในระดับหนึ่ง ความรู้สึกแรกตอนไปถึงคือชอบ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนเราเจอใครสักคนแต่งตัวดี ๆ นั่นแหละครับ เพราะโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่บรรยากาศค่อนข้างดีนะ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเล (จากด้านหน้าโรงแรม บริเวณลานจอดรถก็สามารถมองเห็นทะเลได้แล้ว) ด้านหน้าโรงแรมเป็นลานเปิดโล่ง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด รู้สึกได้ถึงลมที่พัดมาตลอดเวลาตามประสาเมืองที่อยู่ริมฝั่งทะเล

จะเห็นว่าจากลานจอดรถของโรงแรมสามารถมองเห็นทะเลได้ (ถ่ายจากล็อบบี้)


เมื่อเข้าไปด้านในก็ถือว่าสอบผ่าน บรรยากาศด้านในสะอาดสะอ้านดี บริเวณล็อบบี้ก็กว้างขวางนั่งสบายและมีโต๊ะเก้าอี้หลายชุดพอสมควร แต่ที่อยากจะตำหนิมาก ๆ ก็คือเจ้าหน้าที่ไม่ใส่ใจในการให้บริการลูกค้าเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของคำพูด สีหน้า ท่าทาง รอยยิ้ม ฯลฯ ซึ่งบุคคลที่ทำหน้าที่ให้บริการ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทำงานบริการควรจะมี ยกตัวอย่างเช่น ผมถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน แต่เหมือนเขาจะได้ยินไม่ชัด เขาเลยตอบกลับมาว่า “ฮะ” พร้อมยื่นหน้ามาหาผมแล้วหรี่ตา คล้ายจะให้ผมพูดอีกครั้ง เป็นต้น

มาดูในเรื่องของห้องพักกันบ้าง ซึ่งประเด็นนี้ผมให้ผ่านครับ ภายในห้องพักกว้างขวางและสะอาด ชั้นบน ๆ จะมองเห็นทะเล ยิ่งในตอนเช้าทะเลจะสวยมาก ๆ ห้องน้ำก็กว้าง ใหม่ และสะดวก Wifi ก็เร็วใช้ได้ครับ โดยรวมแล้วสะดวก สบายทุกอย่าง





อาหารเช้ามีให้เลือกพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถือว่าหลากหลายมากนัก และรสชาติธรรมดามาก ออกไปทางไม่อร่อยด้วยซ้ำ ข้อนี้ไม่ผ่านครับ แต่บรรยากาศภายในห้องอาหารยังโอเคครับ ผมให้ 8/10 เพราะแสงสว่างเพียงพอ ที่นั่งก็มีมากพอสมควร ห้องน้ำบริเวณชั้นล่างก็สะอาดและไม่มีกลิ่น

นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีสระน้ำที่สามารถมองเห็นวิวทะเล (รู้สึกจะปิดตอน 1 ทุ่ม) และมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ให้บริการอยู่ด้วยครับ

ข้อดีอีกอย่างคือ โรงแรม Tsix5 ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก 7-11 ใครที่ชอบหิวดึก ๆ หรือชอบลืมของเวลาไปเที่ยวก็หายห่วงได้ครับ

อุทยานแห่งชาติดอยจง เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ของประเทศไทยและจังหวัดลำปาง จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้จึงอยู่ที่ "ความสงบ" เพราะในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเพียงไม่กี่คน ส่วนข้อด้อยก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยจง ไม่มีจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเท่าใดนัก นอกจากนั้นก็ยัง ไม่มีจุดบริการอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสม (ตอนนี้ไม่ทราบว่าทางอุทยานพัฒนาแล้วหรือยังนะครับ)



บริเวณที่เป็นจุดรับรองนักท่องเที่ยวและที่จอดรถของอุทยานก็ถือว่ามีความเหมาะสมกับจำนวนนักท่องเที่ยวดีครับ จุดรับรองจะออกแนวเป็นศาลาเล็ก ๆ อยู่ริมน้ำ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ผมเจอก็จะเป็นคนท้องถิ่นในแถบอำเภอสบปราบเองแทบทั้งนั้น

กิจกรรมที่สามารถทำได้ที่นั่น แน่นอนเลยต้องเป็นการเดินป่า การเดินป่าที่นั่นจะมี 2 เส้นทางด้วยกันครับ

เส้นทางแรก ก็คือการเดินไปถึงน้ำตกขุนแม่ยอง น้ำตกตาดปู่หล้า และน้ำตกธารมะไฟ ระยะทางจะอยู่ราว ๆ 2.5 – 3.5 กิโลเมตร



เส้นทางที่สอง คือเส้นทางที่จะไปถึงยอดดอยจง ระยะทางอยู่ที่ 8 กิโลเมตร แต่เส้นทางที่สองนี้ไม่สามารถเดินไปกลับภายในวันเดียวได้ ใครที่เลือกเดินป่าในเส้นทางที่สองต้องค้างคืนอยู่บนยอดดอยจงอันเป็นจุดหมายปลายทาง 1 คืน ก่อนที่จะเดินกลับลงมาในตอนเช้า

การเดินป่าทั้ง 2 เส้นทาง ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ พี่ ๆ เจ้าหน้าที่บริการให้ฟรี ใครที่อยากไปกินบรรยากาศ ยังไม่ได้อยาก Challenge ตัวเองมากนัก คิดว่าเลือกเส้นทางแรกก็คงน่าจะเพียงพอครับ เพราะระหว่างทางเราก็จะเจอป่าที่มีแต่เสียงนกร้องและเสียงน้ำไหล ไม่ได้สมบุกสมบันแบบเส้นทางที่สอง ที่ต้องเดินขึ้นเขาและบางครั้งอาจเจอสัตว์ป่าหลายชนิดทั้งที่ดุร้ายอย่างเช่นหมี และที่ไม่ดุร้ายเช่น เก้ง กระต่าย ฯลฯ เป็นต้น





อ่านต่อ...

ถ้าจุดประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยวของท่านผู้อ่านคือการได้ไปดื่มด่ำกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ใดสักแห่ง “นูเรมเบิร์ก” ถือว่าตอบโจทย์ครับ



ถึงแม้นูเรมเบิร์ก (Nuremberg) หรือเนิร์นแบร์ก (Nürnberg – ภาษาเยอรมัน) จะเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแคว้นบาวาเรีย ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่กว่า 5 แสนคน แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้เป็นเมืองที่วุ่นวายแบบที่ใครหลาย ๆ คนคิดครับ ออกจะเป็นเมืองน่ารัก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบด้วยซ้ำ และแน่นอนเรื่องความสะอาด รวมถึงความเป็นระเบียบก็ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้วในประเทศที่เป็นเบอร์หนึ่งของสหภาพยุโรปอย่างเยอรมนี



ภายในตัวเมืองยังคงมีกลิ่นอายประวัติศาสตร์อยู่อย่างตลบอบอวล เนื่องจากในอดีตนั้น “นูเรมเบิร์ก” เป็นเหมือนเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ซึ่งกษัตริย์ชาวเยอรมันโดยส่วนมากก็จะประทับอยู่ที่เมืองนี้ เพียงแค่ไม่ได้ประกาศให้เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการเท่านั้นครับ

พอมาถึงในยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคนาซี (Nazi Party) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ยังใช้เมืองนี้เป็นศูนย์ประชุมหลักของพรรค ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ “นูเรมเบิร์ก” ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเป็นคู่สงครามหลักกับนาซีเยอรมัน

แล้วก็เป็นไปตามคาด เพราะในปี 1945 เมือง “นูเรมเบิร์ก” ถูกโจมตีอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เมืองนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โบราณสถานหลายแห่งต้องถูกทำลายลงไปอย่างย่อยยับ เป็นที่น่าเศร้าใจมาก ๆ ครับที่ชาวโลกต้องสูญเสียสถานที่สำคัญ ๆ อันทรงคุณค่าเหล่านั้นไป ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในความโหดร้ายของสงครามเท่านั้น



แต่นูเรมเบิร์กในวันนี้ ก็ยังพอหลงเหลือสถานที่สำคัญให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ไปชื่นชมกันอยู่ครับ เราลองมาดูกันอย่างคร่าว ๆ ดีกว่า >> CLICK อ่านต่อ



อ่านต่อ...

โดยส่วนตัวผมคิดว่าพระราชวังแวร์ซายมีนักท่องเที่ยวมากเกินไปครับ เลยอาจจะทำให้เราไม่ค่อยสามารถจะชื่นชมกับบรรยากาศภายในพระราชวังได้อย่างเต็มที่ แต่ต้องยอมรับว่าตัวพระราชวังของเขาสวยงามจริง ๆ รวมไปถึงห้องต่าง ๆ ภายในพระราชวังที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นเครื่องยืนยันถึงความมั่งคั่งของฝรั่งเศสในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

(ภาพจาก Home - Minuto LigadoMinuto Ligado | Atualidades e Artigos )


บริเวณที่เป็นไฮไลท์ของพระราชวังแวร์ซายก็คือ The hall of mirrors ว่ากันว่าห้องนี้เป็นห้องที่สวยงามที่สุดแล้วในพระราชวัง นอกจากนั้นความสำคัญของห้องนี้ก็คือ เคยเป็นห้องที่ใช้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายเยอรมัน (หนึ่งในฝ่ายมหาอำนาจกลาง) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

(ภาพจาก Palace of Versailles | Official website )


ซึ่งหากดูจากชื่อเสียงด้านความสวยงาม และความสำคัญของห้องนี้แล้ว ก็คงพอเดากันได้ว่านักท่องเที่ยวด้านในก็ต้องเยอะตามไปด้วยแน่นอน และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ บางทีจะยืนดูอะไรนาน ๆ ก็ไม่ค่อยได้เลย เพราะถ้ายืนนานมันจะกลายเป็นว่าเราไปยืนขวางคนอื่น เพราะงั้นเลยต้องรีบเดิน ตรงนี้ก็อาจทำให้หลายคนเซ็ง ๆ ได้ครับ รวมถึงตัวผมด้วยเช่นกัน

(ภาพจาก Palace of Versailles | Official website )


อีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญในพระราชวังไม่แพ้ The hall of mirrors ก็คือ Gardens of Versailles หรือสวนของพระราชวังแวร์ซายนั่นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วเราสามารถมองเห็นสวนนี้ได้จาก The hall of mirrors ด้วย และหากใครได้ไปที่พระราชวังแวร์ซายก็ไม่ควรจะพลาดที่จะเข้าไปเดินชมภายในสวน เพราะสวนนี้มีความสวยงามและความพิเศษขนาดที่ว่าบรรดาสถาปนิกที่เรียนเกี่ยวกับเรื่อง Landscape แทบทุกคนต้องเคยศึกษารูปแบบการออกแบบของสวนแห่งนี้



(ภาพจาก Palace of Versailles | Official website )




อ่านต่อ...

กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไม่ค่อยแตกต่างกับประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปตะวันออกมากนัก ไม่ได้สะอาดสะอ้าน และดูหรูหราเหมือนประเทศในแถบยุโรปตะวันตก แต่ก็ยังพอมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ครับ

ยกตัวอย่างเช่น ป้อมชาวประมง หรือ Fisherman’s Bastion ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของบูดาเปสต์เลยก็ว่าได้ (one of the top Budapest attractions) โดยป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เพื่อรำลึกถึงชาวประมงที่เคยปกป้องเมืองจากการรุกรานของมองโกล

(ภาพจาก 블로그 홈 | Daum 블로그 )


ถ้าเราไปที่ Fisherman’s Bastion ในตอนกลางวัน แล้วเดินขึ้นไปด้านบนของป้อม เราจะสามารถชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำดานูบและตัวเมืองบูดาเปสต์ได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นอาคารรัฐสภา (Hungary Parliament ) ของฮังการีซึ่งหลาย ๆ คนบอกว่าเป็นอาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก รวมถึงสามารถมองเห็นสะพานเชน (Chain Bridge) อันมีชื่อเสียงได้อีกด้วย

(ภาพจาก oman-gp.deviantart.com)


แต่ถ้าใครเดินทางไปในช่วงฤดูหนาวก็ระวังโดนสภาพอากาศเล่นงานครับ เพราะบางครั้งบริเวณนั้นจะมีหมอกหนา ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยในระยะ 10-20 เมตร แม้กระทั่งในตอนกลางวัน บรรดาเรือที่เคยพานักท่องเที่ยวล่องแม่น้ำดานูบเพื่อชมวิวทิวทัศน์ริมฝั่งก็ต้องยกเลิก เพราะทัศนวิสัยไม่ดี ทำให้กัปตันไม่สามารถรับรองความปลอดภัยระหว่างล่องเรือได้

ถ้าเราไปที่ Fisherman’s Bastion ในตอนกลางคืน ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่งครับ แต่เราจะไม่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้เหมือนในตอนกลางวัน แล้วบรรยากาศก็จะค่อนข้างเงียบ ๆ บางคืนอาจเจอคนยืนสีไวโอลินเปิดหมวกอยู่บริเวณทางขึ้น ช่วยสร้างบรรยากาศได้มากเหมือนกัน

เรื่องอาหารการกินก็เฉย ๆ ครับแถวนั้นไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ บางร้านก็มีอาหารคล้าย ๆ อาหารไทยเลย คือผัดผักราดข้าว แต่รสชาติก็จะจืด ๆ ตามสไตล์ยุโรปนั่นแหละ บางร้านก็จะมีของโฮมเมด เช่น คุกกี้วางขายอยู่ด้วย ของพวกนี้ส่วนใหญ่ราคาถูกมากครับ ถุงละ 1 ยูโรก็มี แล้วรสชาติก็ดีด้วย



อ่านต่อ...

สวยงามสมกับคำร่ำลือครับสำหรับกรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก คำแนะนำสำหรับท่านที่มีโอกาสไปเยือนคือ ท่านควรจะได้เห็นบรรยากาศของกรุงปรากทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน เพราะว่าสำหรับกรุงปรากแล้ว กลางวันและกลางคืนนั้นค่อนข้างให้บรรยากาศที่แตกต่างกันมาก แล้วเมืองแบบนี้พยายามอย่าไปกับทัวร์อีกเหมือนกันครับ เพราะรายละเอียดในเมืองค่อนข้างมาก ไม่เหมือนเวลาเราไปเมืองแบบปิซ่า ซึ่งอันนี้ทั้งเมืองดูเหมือนจะมีแค่หอเอน ทัวร์พาเราไปแค่นั้นก็ถือว่าจบ

เนื่องจากปรากเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ปรากจึงเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับหลาย ๆ เมืองในยุโรป และในยามค่ำคืนจะกลายเป็นเมืองที่โรแมนติกมาก สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ จะถูกทำให้โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้ม

ข้อดีที่เห็นได้ในกรุงปรากเลยก็คือสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ หลายแห่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน สามารถเดินไปถึงกันได้โดยใช้ระยะเวลาไม่นานนัก สภาพถนนหนทางก็สะอาดเรียบร้อยดี มีตรอกซอยเล็ก ๆ โบราณ ๆ อยู่เยอะเหมือนกัน ในความเห็นผม เห็นว่าคล้าย ๆ กับกรุงเวียนนา

ช่วงคริสต์มาส ภายในเมืองก็จะมีตลาดคริสต์มาส ซึ่งก็มีของขายหลากหลายตั้งแต่ของกินไปยันของที่ระลึก ราคาก็ไม่ได้แพงอะไร คนเดินกันเยอะดีครับบริเวณนี้ แต่ไม่ได้เยอะแบบเบียดเสียดยัดเยียดอะไรขนาดนั้นนะครับ บรรยากาศจะคล้าย ๆ ตอนเดินตลาดรถไฟ หรือจตุจักร แค่สะอาดกว่า คนไม่เยอะเท่า แล้วก็อากาศดีกว่ามาก ๆ

โดยรวมถือว่าดีเลยครับ ใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้สัก 2 -3 วันก็น่าจะกำลังดี แต่ใครอยากเก็บให้ละเอียด ๆ ก็อยู่นานหน่อยก็ได้แล้วแต่สะดวกเลยครับ



อ่านต่อ...

ในกรุงปรากนั้น ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเดินกันเป็นขวักไขว่ โดยเฉพาะบริเวณ “ชาร์ลส์ บริดจ์” ที่คนจะเดินกันเยอะมาก อันนี้นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องระวังมิจฉาชีพด้วยครับ เพราะแน่นอนว่าในสถานการณ์ที่เบียดเสียดกันไปมาและไม่รู้ว่าใครเป็นใครนั้น เป็นสถานการณ์ในฝันของเหล่ามิจฉาชีพอยู่แล้ว บวกกับบนสะพานนั้นค่อนข้างมืดเลยครับในเวลากลางคืน จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าไปอีก (ใครที่ไปกับเด็กเล็ก ๆ ระวังพลัดหลงกันด้วยนะครับ)

บนสะพานชาร์ลส์ในตอนกลางคืนนั้น ถ้าคนไม่มากอย่างที่เป็น ก็คงจะสวยงามและโรแมนติกมาก ๆ แต่พอดีว่าคนเยอะและเราก็ไม่สามารถจะไล่ใครไปได้เลย จึงได้แค่จินตนาการถึงเวลาที่ไม่มีคนเดินอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งถึงแม้คนจะค่อนข้างเยอะแต่เอาเข้าจริง ๆ เราก็ยังพอหยุดพัก แล้วยืนกินบรรยากาศได้อยู่ครับ วิธีการง่าย ๆ ก็คือเดินชิดซ้ายหรือชิดขวาตัวสะพานก็ได้ แล้วหันหน้าออกไปจากตัวสะพาน …. ลมเย็น ๆ ของฤดูหนาวจะมาปะทะกับหน้าของเราแล้วเราจะพบว่าบรรยากาศดีมาก เพราะจากบนสะพานเราจะสามารถมองเห็นวิวของกรุงปรากและแม่น้ำวัลตาวาไปด้วยในตัว

ภาพตัดกลับมาครับ หันหน้ากลับมาสู่สะพาน เรายังจะเจอขอทานอยู่แทบจะตลอดเวลาที่เดินอยู่บนสะพาน แล้วหลาย ๆ คนก็จะทำท่าเหมือน ๆ กัน ก็คือคุกเข่า แล้วโน้มตัวลงไปข้างหน้าเหมือนเวลาเรากราบพระ มือสองมือก็กุมแก้วไว้ แล้วค้างอยู่แบบนั้นไม่เงยหน้าขึ้นมา นานมาก ๆ ผมแอบมองอยู่นานว่าพี่แกจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่จนแล้วจนรอดพี่ขอทานก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาสักที จนเป็นผมเองที่ยอมแพ้

พี่ขอทาน (อันนี้ผมแคปมาจากวีดีโอที่ผมถ่ายเอาไว้)


ถึงแม้ที่ผมเล่าไปทั้งหมดอาจจะฟังดูแย่ แต่ถ้าเราตัดคนออกไปแล้วมองแต่ตัวสะพานเราจะพบว่ามันสวยและคลาสิกมากครับ

ในย่านเมืองเก่าช่วงนั้นก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศของคริสต์มาส ทั้งดวงไฟที่ถูกประดับประดาตามร้านรวง บ้านเรือน วิหารสำคัญ ๆ และต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่ถูกนำมาตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสสำคัญภายในเมืองมิวนิก “จัตุรัสมาเรียนพลัทซ์”(Marienplatz)

มาเรียนพลัทซ์เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของเมืองมิวนิก ถ้าใครได้ไปที่มิวนิกก็ไม่ควรพลาด และบริเวณนั้นยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอย่าง Neues Rathaus หรือ New town hall ในภาษาอังกฤษ ที่สามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ นอกจากนั้นเวลา 11 นาฬิกา 12 นาฬิกาและ 17 นาฬิกา (17 น. มีเฉพาะฤดูร้อน) จะมีตุ๊กตากลไกออกมาเต้นระบำด้วย ช่วงนั้นก็จะมีนักท่องเที่ยวรอดูอยู่บริเวณนั้นพอสมควร แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจครับ

ใกล้ ๆ กันนั้นเป็นที่ตั้งของมหาวิหารฟราวเอนเคียเช่อ (Frauenkirche) ซึ่งมีจุดเด่นที่หอคอยรูปทรงโดมสองโดมคู่กัน ที่จะมองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมิวนิกเลยก็ว่าได้

สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำเลยก็คือให้ทุกคนลองเข้าไปนั่งในโบสถ์ของยุโรปดู เพราะว่าบรรยากาศด้านในนั้นจะดูยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลังเป็นอย่างมาก ตัวโบสถ์แทบทุกแห่งบรรยากาศข้างในก็จะสงบ ๆ มีแสงสลัว ๆ บางแห่งเข้าไปก็บอกได้เลยว่ามืด และได้กลิ่นอับเล็ก ๆ แต่พอสายตาเราปรับได้ เราก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้ตามปกติ

สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับแฟนบอล และคิดว่าคงไม่มีใครลืม ก็คือ บาเยิร์น มิวนิก

ทุกท่านที่ดูฟุตบอลน่าจะทราบกันดีว่าเมืองมิวนิกมีสโมสรชื่อดังสโมสรหนึ่งอยู่ นั่นก็คือ บาเยิร์น มิวนิก และรังเหย้าของบาเยิร์น มิวนิก คือ Allianz Arena ซึ่งสนามแห่งนี้ถึงแม้ไม่มีการแข่งขันก็สามารถเข้าชมได้ตามที่ทางสนามได้กำหนดวันและเวลาไว้

บรรยากาศในสนามระหว่างเกมนัดสำคัญ




อ่านต่อ...