1. นี่มันเว็บอะไรกัน??? ทำความรู้จักคร่าวๆกับ รีวิวบุรี คลิกเลย

Mr.001

ผู้ว่าฯรีวิวบุรี

ผู้ดูแลเมือง
Mr.001 เคลื่อนไหวล่าสุด:
2 พฤศจิกา 2020
  • แนะนำหนัง

    รีวิวKing Kong: คิงคอง : สนุก

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ข้อเด่น - ฉากแอ๊กชั่น มันสะใจมาก
    - ภาพสวย กราฟฟิคอลังการ
    - เคล้าโครงบทโดยรวมดีใช้ได้
    ข้อด้อย - - มีความไม่สมเหตุสมผลของบทกระจายตลอดเรื่อง
    ผมพลาดเรื่องนี้ไปครับ ความจริงก็มีความพยายามขอหยิบยืมแผ่นจากคนอื่น แต่เค้ากลับทำแผ่นหายซะนี่ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะไม่นึกว่า "มันจะสนุกขนาดนี้" สรุปเพิ่งได้ดูสองสามวันก่อนนี้เอง

    ในช่วงแรกของการปูพื้นที่มาที่ไปของตัวละครอาจยืดเยื้อไปนิด ถ้าเป็นหนังแนวเดียวกันคงตัดช่วงแรกให้สั้นลงกว่านี้ จนกระทั่งหนังผ่าน 1 ชั่วโมงแรก ก็ถึงเกาะพอดี หลังจากนั้นก็มีแต่ความตื่นตาตื่นใจตลอด ตั้งแต่ภูมิประเทศ จนถึงสัตว์ประหลาดต่างๆบนเกาะ คือก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องนี้มีไดโนเสาร์ด้วย และฉากที่คองฟัดกับไดโนเสาร์ ผมว่าเป็นโมเม้นที่มันที่สุดของเรื่องแล้ว

    ด้านของบท ผมให้คะแนนเรื่องการปูพื้นความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับคองได้ดี ประกอบกับแววตาที่แสดงความรู้สึกสุดแสนอาวรณ์ของคอง ผมคิดว่าคนดูหลายท่านคงรู้สึกคล้อยตามเหมือนผมแน่เลย

    จุดด้อย ก็คงเป็นเรื่องของความเว่อร์ ความไม่สมเหตุสมผล ที่หาดูได้ตลอดเรื่อง แต่ก็ให้อภัยได้ด้วยภาพรวมของหนังที่มันสนุก ตื่นตาตื่นใจตลอด

    ดูเสร็จผมกลับไปเช็คให้แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้ฉายปีไหน 2005 :whaaat2: ว้าว ไม่น่าเชื่อ มันสนุกขนาดเขี่ย Jurassic World ภาคล่าสุด ที่ฉายในอีก 10 ปีต่อมาทิ้งไปได้เลยนะ

    แต่ผมยังกังวลกับการไปดูคองภาคใหม่ เพราะระยะหลังหนังดังๆที่ผู้กำกับต้นตำหรับไม่สร้างเอง แต่ส่งต่อให้คนอื่นทำแทน ไม่ว่าจะเป็น Jurassic Park, Star Wars, คนเหล็ก ล้วนทำให้ผมผิดหวังมาแล้วทั้งสิ้น

    รีวิวSaving Private Ryan: ฝ่าสมรภูมินรก : ดูเถอะครับ

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    เป็นหนังแนว ดราม่า สงคราม ถ้าใครยังไม่เคยดู แนะนำให้ดูเถอะ รับรองไม่ผิดหวัง ไม่ใช่อะไรที่ดูยากเลย

    แม้ว่าพล็อตของเรื่องจะเป็นการไปตามหาและช่วยชีวิตพลทหารเพียงนายเดียว แต่ผมคิดว่าวาระหลักๆของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นการให้คนดูได้เห็นความโหดร้ายของสงคราม (ซึ่งเป็นสิ่งทีสะท้อนอยู่ในหนังของสปีลเบิร์กหลายๆเรื่อง) ในหนังแนว action อื่นๆ เด็กๆดูแล้วอาจจะรู้สึกอยากเป็นทหาร แต่เรื่องนี้ดูแล้วรับรองว่าจะขยาดสงครามกันไปเลย โดยเฉพาะฉากยกพลขึ้นบกในช่วงต้นเรื่อง หนังทำออกมาได้สมจริง และรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของสงครามจริงๆ

    การใส่มุขตลกเข้าไปในหนังสงครามเพื่อ balance ธีมของหนังไม่ให้หดหู่ หรือ กดดันมากเกินไป ดูจะเป็น Signature ของสปีลเบิร์กเลยหรือเปล่านะ เพราะเห็นมาหลายเรื่อง และเค้าทำได้ดีมากด้วย คือความจริงมันน่าจะเป็นอะไรที่แย้งกัน เหมือนพ่อครัวที่เอาวัตถุดิบสองอย่างที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ แล้วปรุงออกมาเป็นอาหารที่รสชาติกลมกล่อมอย่างไม่น่าเชื่อ

    สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า Saving Private Ryan เป็นหนังอีกเรื่องของสปีลเบิร์กที่เวลาผมดูซ้ำแล้ว จะยิ่งชอบมากขึ้น ใครที่เคยดูแล้ว ว่างๆหาอะไรดูไม่ได้ ลองดูซ้ำดูนะครับ อาจรู้สึกเหมือนผมก็ได้

    รีวิวThe Others คฤหาสน์ สัมผัสผวา | หนังบ้านผีสิงชั้นยอด : เรื่องนี้มีดีที่บท

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ชอบเรื่องนี้มากครับ เป็นหนังผีที่มีดีที่บท การถ่ายทำ การดำเนินเรื่องมีชั้นเชิง (เช่นเดียวกับ Tom Hanks หนังที่ Nicole Kidman เล่นมักเป็นหนังดี) แต่ตอนที่ผมดู ผมไปโดนรายการทีวีแนะนำหนังสปอยเข้าไปก่อนนิดนึง ความสนุกเลย drop ลงไปนิดนึงเช่นกัน (...คิดอีกที.... ผมว่าเยอะเลยแหละ :depressed2:)

    ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็แนะนำว่าอย่าไปหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ดูเลยแล้วจะสนุกครับ

    รีวิวSULLY : หนังดีอีกแล้วนะ เฮียทอม

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ความจริงผมไม่ได้เป็นประเภทแฟนคลับดารานะ แต่รู้สึกว่าหนังที่ทอม แฮงค์เล่นจะถูกจริตกับผมเกือบทุกเรื่อง

    สำหรับเรื่องนี้ ก่อนดู สิ่งที่ผมจินตนาการคือ หนังแนว Thriller ตื่นเต้น เครื่องบินจะตก แล้วกัปตันก็ขับเครื่องร่อนลงที่แม่น้ำอย่างปลอดภัย แล้วกัปตันก็กลายเป็นฮีโร่ ทุกคนแซ่ซ้องสรรเสริญ แค่นึกได้แค่นี้ก็น่าเบื่อแล้ว

    แต่ เพราะ ทอม แฮงค์ เล่น มันต้องมีอะไรซิหน่า จัดมาดูซะหน่อย (หลังจากหาอะไรดูไม่ค่อยได้แล้ว)

    เริ่มต้นก็ผิดคาดเลย หนังเริ่มที่เหตุการณ์หลังเครื่องร่อนลงปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ประเด็นของหนังกลับมุ่งไปที่ว่า กัปตันตัดสินใจผิดพลาดหรือเปล่า คณะกรรมการสอบสวนมีข้อมูลหลายอย่างมาแย้งว่า ความจริงสามารถนำเครื่องกลับที่สนามบินได้ทัน ทำไมจึงเลือกลงแม่น้ำ เออเริ่มแบบนี้ก็เล่นเอาผมอึ้งไปเล็กน้อย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นความสามารถของคนเขียนบทที่ทำอะไรให้คนดูคาดไม่ถึงได้ แล้วตัวหนังตลอดเรื่องก็ไม่ได้ชี้นำไปทางไหนเป็นพิเศษเลย ปล่อยให้คนดูลุ้นไป (สำหรับคนที่ติดตามข่าวเรื่องนี้โดยละเอียด อาจเฉยๆก็ได้นะ เพราะคงรู้ตอนจบแล้ว)

    สรุปเป็นหนังที่ดูสนุก และรู้สึกชื่นชมคนทำหนัง ที่สามารถทำให้การดำเนินเรื่องมันสนุกน่าติดตามตลอด

    รีวิวแฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว : วันที่ชิวิตเป็นของเรา...

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ตอนแรกเห็นพล็อตก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว... อย่างกะซินเดอเรลล่า แต่ที่ไปดู เพราะแพลนจะไปดูหิมะที่ฮอกไกโดอยู่พอดี

    ที่ไหนได้ หนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ หลอกให้ขำตอนแรก แล้วกลับมาทำให้ต้องเดินตาแดงออกจากโรง เสีย self ลูกผู้ชายหมด

    :cry:

    พกผ้าเช็ดหน้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องใช้มือปาด

    รีวิวแบบจริงจัง.....

    ในช่วงเริ่มก็จะเป็นปูพื้นปูมหลังของตัวละคร สำหรับตัวพระเอก เด่น ก็อาจจะดูเว่อๆ ขำๆ แต่ก็พอสรุปได้ว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจก็แล้วกัน ในส่วนของนางเอก นุ้ย ตรงข้าม ชีวิตค่อนข้างดูเรียลมากๆ เรียลจนออกเทาๆ ด้วยซ้ำ

    ในส่วนของช่วงแรกนี้ผมก็ว่าดูขำๆนะ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

    แต่พอเข้าเรื่องแล้วเนี่ย จะเริ่มจริงจัง เริ่มซึ้ง และลงท้ายด้วยการเรียกน้ำตา

    หนังดึงความรู้สึกได้ดีพอควร เทียบกับหนังไทยบางเรื่องที่เคยดู เช่น กวนมึนโฮ ฟรีแลนซ์ หรือ เพื่อนสนิท เรื่องนี้ดูจะทำได้ละเอียดกว่า

    นอกจากนั้น ที่ชอบมาก คือหนังยังสะท้อนแง่คิดอะไรหลายอย่างกลับมาให้คนดูหลายประเด็นทีเดียว

    อย่างตอนแรกที่ผมเข้าใจว่าพล็อตเรื่องคล้ายๆซินเดอเรล่า เพียงแต่เปลี่ยนเป็นฝ่ายชายที่ได้รับเวลาอันจำกัดแทน แต่ความจริงแล้วมันลึกกว่านั้นครับ ช่วงเวลาที่นุ้ยความจำเสื่อมในต่างถิ่น มันเป็นโอกาสทั้งคู่ได้ปลดเปลื้ง สิ่งปรุงแต่งต่างๆของชีวิต สภาพแวดล้อมต่างๆที่เคยกำหนดกะเกณฑ์ชีวิตของทั้งคู่ถูกสลัดทิ้งออกหมด จนเหลือแต่ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งตรงนี้คงเอานิทานมาเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน

    ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด แต่เกรงว่าจะเป็นการสปอย ขอใส่ไว้ใน spoiler ล่ะกันครับ

    1. ช่วงที่นุ้ยความจำเสื่อม เหมือนย้อนกลับไปเป็นตัวเองเมื่อ 3 ปีก่อน และพอรู้ว่าตัวเองในปัจจุบันมีสภาพเหมือนเมียน้อยของคนอื่น เธอกลับรู้สึกรับไม่ได้ ตรงนี้ทำให้คิดว่า คนเราบางที ตัวตนเป็นอย่างหนึ่ง แต่ จะด้วย ความรัก ความโลภ ความโกรธ หรือ ความหลงก็แล้วแต่ มันค่อยๆดึงเราให้ออกห่างจากตัวตนที่แท้จริงของเราไปเรื่อยๆ จนบางครั้งถ้ามองตัวเองในปัจจุบันด้วยมุมมองของตัวตนในอดีต เราจะแทบจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ และคงจะได้แต่นึกว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

    2. การที่เด่น ตัดสินใจที่จะไม่สานต่อความสัมพันธ์ อาจดูขัดใจสำหรับหลายๆคน แต่ผมกลับคิดว่าเด่นมองได้ทะลุแล้ว เพราะถ้ากลับไปเมืองไทยทั้งคู่ไปไม่รอดแน่ คือ คนๆเดียวกัน อาจเป็นคนที่ต่างกัน ในสถานการณ์ หรือบริบทแวดล้อมที่ต่างกัน

    ประเด็นนี้ผมเคยได้ข้อคิดจากการดูเรื่อง Walking Dead คือในซีรีย์เรื่องนี้ จะเห็นว่า เมื่อสภาพการณ์ของโลกเปลี่ยนไป อาชีพ ปูมหลัง สิ่งต่างๆที่เคยกำหนดความเป็นตัวตนในอดีตมันหายไป เราก็จะกลายเป็นคนใหม่ และเราก็จะสามารถทำอะไรหลายๆอย่างที่ตัวตนในอดีตทำไม่ได้ จะเห็นว่า คนที่ขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มทั้งหลาย เมื่อก่อน บางทีก็เป็นยาม บางทีก็เป็นหมอฟัน คนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอกลับเป็นผู้นำที่ดีกว่าอดีต สว ส่วนคนเลี้ยงสัตว์ในละครสัตว์ก็กลายเป็น King ตัวละครในเรื่องก็จับคู่กันได้โดยที่ไม่ต้องสนใจอดีตของกันและกัน

    กลับมาที่ เด่นกับนุ้ย ถ้าทั้งคู่ยังอยู่ในโหมดเที่ยวด้วยกันไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์นั้นก็คงดำรงต่อไปได้เรื่อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่กลับมาเมืองไทย มันจะเป็นอีกโลกหนึ่ง โลกใบเก่าที่ช่วงแรกของหนังได้ปูพื้นไว้แล้ว ว่ามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การงาน สังคม เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ตอนอยู่ในโหมดเที่ยว สิ่งเหล่านี้มันไม่มีผลอะไรเลย แต่ทันทีที่กลับมาเมืองไทย สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นกรอบชีวิตที่ทั้งคู่ไม่อาจปฏิเสธ

    ตรงนี้ผมมีคำถามในใจว่า แล้วคนเราจะสามารถดึงตัวเองให้หลุดจากกรอบเหล่านี้ โดยไม่ต้องรอให้โลกเปลี่ยนได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทั้ง 100% เราจะทำได้บางส่วนหรือไม่ 50% ,20% หรือ 10% ก็ยังดี

    3. อันนี้เป็นประเด็นเล็กๆ แต่สำคัญ ตอนที่นุ้ยเห็นปราสาทน้ำแข็งถูกแกะสลักอย่างสวยงาม แล้วพูดว่า "แล้วอย่างไง พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้มันละลายไปอย่างงั้นเหรอ คนที่ทำมาเค้าจะรู้สึกอย่างไง" ผู้พูดไม่ได้คิดอะไร แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและสะท้อนใจสำหรับอีกคน จนอึ้งไปทีเดียว ซึ่งบทละเอียดๆแบบนี้ ถ้าดูในหนังจีน ญี่ปุ่น เกาหลี จะเห็นเค้าเอามาใช้กันมาก แต่ไม่ค่อยเห็นในหนังไทย หวังว่าหนังไทยในอนาคตจะใส่อะไรแบบนี้เข้าไปเยอะๆ ครับ

    รีวิวCaptain Phillips : สร้างจากเรื่องจริง และ สร้างได้สมจริง (มากกกกก)

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    หนังที่ดูหน้าปกแล้วไม่ดึงดูดเอาซะเลย แต่หนังแบบนี้แหละที่ดูจบแล้วยังมีความรู้สึกดีๆประทับอยู่ในใจ ตรงข้ามกับหนังตลาดบางเรื่องที่ดูจบแล้วก็จบเลย

    บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หนังดราม่าที่ดูยากแต่อย่างใด ได้ลุ้นตลอด แต่เป็นการลุ้นแบบเรียลๆนะ คือแค่เรือโจรลำเล็กๆเท่าเรือหางยาวพยายามเทียบกับเรื่อสินค้าลำมหึมา ก็ทำให้รู้สึกระทึกได้มากแล้ว เพราะว่าเรือสินค้าถึงจะใหญ่ แต่ก็มีลูกเรือไม่กี่คน และถ้าจำไม่ผิด ไม่มีอาวุธด้วย ส่วนพระเอกก็ไม่ได้พอดีเป็นอดีตทหารหน่วยซีลแต่อย่างใด ก็เป็นกัปตันมืออาชีพธรรมดา แต่เก๋าประสบการณ์ ชิงไหวชิงพริบกับพวกโจรได้อย่างตื่นเต้นและสนุกมาก

    รีวิวArchitecture 101 รักแรกในความทรงจำ : หนังรักแต่ไม่เน่า

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    นางเอก
    เคยเห็นนางเอกคนนี้จากเรื่อง The Moon that Embraces The Sun หน้าตาเธอไม่เหมาะหนังย้อนยุคเลย แถมบทเรื่องนั้นก็เน่าฟองขึ้นปุดๆ แต่พอมาเรื่องนี้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่งหน้าแต่งตัวแบบสาวอินเทรน ดูมีเสน่ห์ขึ้นเยอะ (แต่ผมก็ยังชอบคนที่แสดงเป็นเธอตอนเรียนมหาลัยมากกว่านะ)

    โรแมนติก
    บทของเรื่องนี้คืออะไรที่ชอบมาก เป็นหนังแนวโรมานซ์ที่ติดดินจับต้องได้ โดนใจใครหลายๆคนแน่นอน แต่ถ้าใครกำลังคิดจะดู อดใจไว้รออีก 2-3 เดือน ดูช่วงฤดุหนาวจะฟินมากขึ้นน้า

    ใหลลื่น
    การดำเนินเรื่องจะตัดสลับระหว่างเรื่องราวในปัจจุบันกับในอดีต แต่การตัดไปตัดมาทำได้อย่างไหลลื่น ไม่มีตรงไหนที่ทำให้งงเลย

    ละเอียด เป็นธรรมชาติ
    ฉากพูดคุย หรือเล่าเรื่องต่างๆ ออกแบบมาแบบละเมียดละไม สื่อเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิง เรื่องบางอย่างตัวละครไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ แต่คนดู ดูแล้วก็เข้าใจความหมายได้ทันที และนักแสดงก็แสดงได้ดีเป็นธรรมชาติ

    ลึกซึ้ง
    ยกตัวอย่างเช่น แค่แผ่นซีดีเพลงเก่าๆ ก็มีบทบาทสื่อความหมายต่างๆ ตลอดเรื่องได้อย่างลึกซึ้งกินใจ

    ตลก
    แทรกมุขตลกได้อย่างกลมกล่อม (ส่วนหนึ่งก็ด้วยพลังเสริมจากทีมพากย์พันธมิตรด้วย)

    สรุป
    เอาเป็นว่าสนุก แนะนำครับ แต่อาจไม่ใช่แนวแบบดูไปน้ำตาใหลพรากๆแบบนั้นนะ อารมณ์ของหนังไม่ได้ขนาดนั้น

    ป.ล. ก่อนดูผมก็งงว่าทำไมหนังรักตั้งชื่อ Architecture 101 ฟังดูไม่เข้ากัน แต่พอได้ดูจึงพอเดาได้ว่า น่าจะเป็นชื่อวิชาในมหาวิทยลัย เพราะจำได้ว่าสมัยที่เรียน ก็จะมีพวกวิชาที่ลงท้ายด้วย 101,102 อยู่ ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาที่มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้ครับ

    รีวิวWar Horse ม้าศึกจารึกโลก : สนุกได้ทุกวัย

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ตามเรื่องย่อเลยครับ คือเจ้าม้า (พระเอก) เพื่อนรักของเด็กหนุ่มในชนบทของอังกฤษ (พระรอง) ทั้งสองต้องพลัดพรากกัน เนื่องจากพระเอกถูกเกณฑ์ให้ไปออกรบ เรื่องราวการผจญภัย (สงคราม) ของพระเอกเลยเริ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่งพระรอง ก็อุตส่าห์เข้าสมัครเป็นทหารเพื่อไปตามหาพระเอก คนดูก็จะได้ลุ้นสนุกไปว่าเจ้าพระเอกแสนรู้จะผ่านพ้นอุปสรรค์ต่างๆ ได้หรือเปล่า แล้วพระรองจะตามหาพระเอกเจอกันมั๊ย ก็อย่าวางใจนะครับ แม้ว่านี่จะเป็นหนังแนว family แต่ผู้สร้างคือ "สปีลเบิร์ก" คนเดียวกับที่สร้าง Schindler's List และ Saving Private Ryan หนังสงครามแสนโหดร้ายมาแล้ว ในเรื่องนี้ สปีลเบิร์ก ก็ไม่วายใส่ฉากทีสะท้อนความโหดร้ายของสงครามเข้าไป (โทนสีของภาพยังทำคล้ายๆ Saving Private Ryan เลย) มีฉากสะเทือนใจอยู่บ้าง แต่ยังอยู่ในดีกรีที่คนรักครอบครัวทั้งหลายน่าจะรับได้นะ

    ม้าพระเอกอาจดูฉลาดเวอร์ไปนิดนึง แต่ก็นะ ถ้าเอาสมจริงหมด ก็กลายเป็นหนังสงครามไปพอดี

    เรื่องนี้ผมว่าดูได้ตั้งแต่ คนรักสัตว์ ไปจนถึงคนชอบหนังสงครามเลย ดูจบก็ ประทับใจครับ เป็นหนังที่ให้ดูซ้ำก็ยังอยากดู ขนาดแม่ผมที่ไม่ค่อยชอบดูหนังฝรั่งยังชอบเรื่องนี้เลย (เพราะเป็นคนรักสัตว์) แต่แม่ผมบอก เสียดายตอนจบพระเอกไม่ได้เจอหน้าครั้งสุดท้ายกับใครบางคน อ่า.. ใครบางคนที่ว่าเป็นคร ทำไมไม่ได้เจอกัน ลองดูกันเองก็แล้วกันครับ ไม่อยากสปอย

    รีวิวOde to My Father กี่หมื่นวัน ไม่ลืมคำสัญญาพ่อ

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ดูแล้วอย่างแรกเลย ได้เข้าใจประวัติศาสคร์ของเกาหลีมากขึ้น ว่าตอนที่เค้าถูกแบ่งเป็น 2 ประเทศเป็นอย่างไง คือเวลาฟังข่าวหรืออ่านหนังสือ ก็ได้แค่รู้เรื่องราว แต่ถ้าดูหนังเรื่องนี้จะได้รับรู้ถึงความรู้สึก ความลำบากยากแค้นของคนเกาหลีในช่วงนั้นเลย

    ตัวบท ดูแล้วอย่างกะเป็นเรื่องราวชีวิตจริงของใครบางคน เพราะหลายๆอย่างมันมีรายละเอียดเยอะ ถ้าเรื่องแต่งไม่น่ามีรายละเอียดขนาดนี้ แต่พอไปสืบค้นก็ไม่เห็นมีที่ไหนระบุถึงว่าเป็นชีวประวัติใคร แต่ถึงอย่างไง ก็ไม่น่าเบื่อนะ มีการแทรกมุขตลกให้คนดูได้ขำไปพร้อมๆกับติดตามชีวิตของพระเอกว่าจะดำเนินไปอย่างไง

    จุดที่ซึ้งจริงๆสำหรับผมคือโครงการตามหาญาติที่พลัดพลากจากการแบ่งเกาหลี เมื่อก่อนดูข่าว ผมก็ไม่เข้าใจนะ ว่าเค้าร้องไห้ระงมอะไรกันนักหนา แต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วจึงได้เข้าใจครับ ชอบครับหนังที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้

    รีวิวOur Little Sister เพราะเราพี่น้องกัน : มันไม่ใช่เรื่องราว แต่คือ ความรู้สึก

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    โดยปกติหนังมันจะต้องมีประเด็น หรือโจทย์หลัก เช่นมีปมบางอย่างให้ติดตามว่าจะลงเอยอย่างไร มีอุปสรรค์ให้ลุ้นว่าจะเอาชนะได้มั๊ย คนที่พลัดพรากจะได้พบกันมั๊ย คนดีจะชนะคนชั่วหรือไม่ แต่... สำหรับเรื่องนี้ ผมดูไปครึ่งชั่วโมงก็เริ่มถามตัวเองว่าประเด็นของหนังเรื่องนี้มันคืออะไรหว่า ดูไปชั่วโมงกว่า ก็ยังไม่รู้ จนผมเริ่มทำใจ และแล้วตอนจบของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอย่างที่คาด คือไม่ได้มีบทสรุปอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมันไม่มีโจทย์ตั้งแต่ต้น มันก็แค่เหมือนกับว่าเราได้นั่งเฝ้าดูชีวิตจริง ในห้วงเวลาหนึ่ง ของครอบครัวหนึ่ง ก็เท่านั้น

    แล้วทำไมให้ 5 ดาว?

    เพราะตลอดช่วงเวลา 2 ชั่วโมงที่ผมดู (และแอบตั้งคำถามเป็นระยะๆถึงประเด็นของหนัง) ผมไม่รู้สึกเบื่อเลย และพอถึงตอนจบ ผมก็รู้สึกว่า อิ่มเอม กับการที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

    เพราะมันไม่ใช่เรื่องราว แต่คือ "ความรู้สึก"

    แม้ว่าเรื่องราวที่หนังเล่าจะไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ผู้ชมจะไม่ได้เพียงแค่รับรู้เรื่องราว แต่จะเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครเลยทีเดียว ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกรักและเอ็นดู ที่บรรดาพี่สาวมีต่อน้องเล็กคนใหม่ได้ ส่วนน้องเล็กก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นเด็นที่น่ารัก แต่ก็เข้มแข็งไปพร้อมๆกัน ผมคิดว่านี่เป็นเสน่ห์เฉพาะของหนังญี่ปุ่นนะ เพราะเห็นมาหลายเรื่องแล้ว คือฉากเรื่องราวเล็กๆธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นการกินข้าวด้วยกัน พูดคุยหยอกล้อกัน ก็ทำให้ผู้ชมเข้าถึงไออุ่นของความเป็นครอบครัวได้ ยังมีฉากเรียบๆธรรมดาๆแบบนี้ตลอดเรื่องที่ถ้าเป็นหนังของประเทศอื่น ผมคงรู้สึกเบื่อ แต่หนังญี่ปุ่น โดยเฉพาะเรื่องนี้สามารถดึงความรู้สึกของผู้ชมไว้ได้ตลอด

    ลูกสาวทะเลาะกับแม่ แต่สุดท้าย ก็คืนดีกัน ลูกอุตส่าห์วิ่งเอาเหล้าหมักไปให้แม่ที่สถานีรถไฟ ถ้าปกติจบแค่นี้ ผู้ชมก็จะได้ "รับรู้เรื่องราว" ว่าลูกจริงๆก็ยังรักแม่อยู่นะ แต่เรื่องนี้จะมีฉากเล็กๆต่อท้าย คือ พอรถไฟออกไปแล้ว ลูกสาวยังพยายามชะเง้อมองว่าแม่ขึ้นรถไฟไปเรียบร้อยหรือเปล่า ฉากเล็กๆแค่นี้ แต่มันถ่ายทอดให้เรา "เข้าถึงความรู้สึก" ของลูกที่มีต่อแม่ได้

    การเล่าเรื่องราวเรียบๆ ง่ายๆ แต่ตรึงความรู้สึกของผู้ชมไว้ได้ตลอดเรื่องผมว่าไม่ธรรมดาเลย

    สำหรับหนักแสดง ก็แสดงกันได้ดีเกือบทุกคน ทำให้รู้สึกได้ถึง บุคลิกของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ พี่คนโต ที่ทั้งเป็นผู้นำ ทั้งอบอุ่น เป็นทั้งพี่และแม่ในตัว และน้องคนเล็กที่ทั้งสดใสร่าเริง ดูเข้มแข็ง แต่ก็ซ่อนปมบางอย่างไว้ในใจ


    ดูจบผมถามตัวเองว่า อยากชวนให้คนในครอบครัว ดูเรื่องนี้มั๊ย? อยาก อยากมากมั๊ย? อยากมาก นี่คือเหตุผลที่ให้ 5 ดาวครับ

    ถ้าดูไปซักครึ่งชั่วโมงแล้ว คุณยังเข้าไม่ถึงความรู้สึกของหนัง ผมคิดว่าอาจไม่จำเป็นต้องดูต่อ หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่สไตล์ของคุณครับ
  • เกี่ยวกับ

    เป็นคนชอบใช้เวลาว่าง ดูหนัง ดูซีรีย์ เล่นเกมบ้างบางครั้งครับ แต่สิ่งที่ล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็คือการออกท่องเที่ยวปีล่ะ 1-2 ครั้ง ส่วนใหญ่ไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า เพราะอยากไปเห็นอะไรที่แตกต่างครับ

    เป็นคนช่างเลือกพอสมควร จะให้ 5 ดาวไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ยกตัวอย่างเช่น สถานที่ๆว่าสวยนั้น ผมแบ่งเป็น 2 ระดับ คือระดับที่ๆความสวยรับรู้ได้แค่ตา และอีกระดับคือความสวยนั้นรู้สึกเข้าไปถึงใจเลย ซึ่งการเยี่ยมเยือนสถานที่เหล่านี้นี่แหละครับคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษของชีวิต

    รสนิยมการท่องเที่ยวคือวางแผนและไปกันเอง ไปกับพี่สาวและคุณพ่อเป็นส่วนใหญ่ เมื่อออกทริปหลายๆครั้ง เราก็เริ่มรู้จักรสนิยมของตัวเองมากขึ้น คือนอกจากจุดหมายต้องสวยจับใจแล้ว การเดินทาง ที่พักก็ต้องสะดวกสบายด้วยครับ มันถึงจะสามารถเติมเต็มให้เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ อย่างไรก็ตามเรายังเลือกที่จะท่องเที่ยวอย่างประหยัดด้วย ทริปแต่ละครั้งของเราถูกกว่าไปกับทัวร์แน่นอนครับ