1. นี่มันเว็บอะไรกัน??? ทำความรู้จักคร่าวๆกับ รีวิวบุรี คลิกเลย

Mr.001

ผู้ว่าฯรีวิวบุรี

ผู้ดูแลเมือง
Mr.001 เคลื่อนไหวล่าสุด:
2 พฤศจิกา 2020
  • แนะนำหนัง

    รีวิวMan of Steel: บุรุษเหล็กซูเปอร์แมน

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    หนังซุปเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่แนวของผมนะครับ ปกติเลยไม่ขอรีวิวหนังพวกนี้ดีกว่า แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะดูแล้วมันสะใจมาก เลยอยากมาบอกต่อเผื่อคนที่ไม่ชอบดูหนังฮีโร่แบบผม จะลองไปหามาดูบ้าง

    เริ่มโดนใจตั้งแต่ฉาก CG อารยธรรมดาวคริปตั้นตอนต้นเลย ทำออกมาล้ำมาก อยากกะหนัง Star Wars ดูแล้วอลังการ ถูกใจจริงๆ คือในเวอร์ชั่นก่อนๆจะบอกแค่ว่า ดาวมันระเบิดไปเฉยๆ แต่เวอร์ชั่นนี้ จะมีการแต่งเติมเนื้อหาให้ดูมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อนมากขึ้น ได้เห็นเรื่องราวตอนก่อนดาวระเบิดว่าเกิดอะไรขึ้น ไปๆมาๆ ดูแล้วจะคล้ายๆ ดราก้อนบอล ความจริงแต่เดิมดราก้อนบอลก็เหมือนจะก๊อปพล็อตจากซุปเปอร์แมน ตรงประเด็นที่มาของตัวเอกที่เป็นมนุษย์ต่างดาว ถูกส่งมาโลกตั้งแต่เด็ก และดาวแม่ระเบิดไปแล้ว แต่คราวนี้ซุปเปอร์แมนก๊อปกลับบ้าง ตรงส่วนรายละเอียด ว่าดาวแม่เคยทำมาหากินอะไร และอีกหลายๆประเด็น

    ฉากบู๊เรื่องนี้คือส่วนที่ชอบที่สุด เหมือนดราก้อนบอลมากๆ แต่สมจริงกว่า ยกตัวอย่างตอนซุปเปอร์แมนบินขึ้นมันจะไม่ใช่ลอยขึ้นไปสวยๆนิ่งๆ แต่นี่อารมณ์เหมือนจรวดตอนพุ่งขึ้นไป จะมีคลื่นพลังแผ่ออกรอบๆ (ใครอยู่ใกล้ๆกระเด็นได้) เวลาฟัดกันก็ล้างผลาญกันจริงๆ ตึกรามบ้านช่องพังพินาศ (แม้จะไม่ค่อยชอบดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ผมจะชอบของ DC มากกว่า Marvel ตรงที่ล้างผลาญกว่านี่แหละ) ผมชอบรองแม่ทัพหญิงฝ่ายร้าย (จำชื่อไม่ได้ล่ะ) คือสู้แบบคนมีวิชาจริงๆ มีทั้งความเร็วและพลัง ส่วนพวกผู้ชายจะใช้กำลังอย่างเดียว แต่ก็มันส์ อย่างที่บอก มันพินาศ ล้างผลาญสะใจ

    เรื่องของบทไม่ซีเรียส อาจมีไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เช่นตัวร้ายเป็นถึงแม่ทัพใหญ่สู้รบมาทั้งชีวิต แต่พระเอกเติบโตในไร่ข้าวโพด จะเอาอะไรไปสู้กับเค้า แต่โดยปกติความเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็คืออะไรที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับผมอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องเล็กแค่นี้มองข้ามได้ ดูแล้วบันเทิงก็พอใจล่ะ วัดกันที่ระดับความันส์อย่างเดียว ให้ 5 ดาวครับ

    รีวิวWar for the Planet of the Apes: มหาสงครามพิภพวานร : สนุก ครบเครื่อง

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ข้อเด่น - บทดี
    - ดราม่าลึก
    - ถล่มกันมันส์
    ข้อด้อย - ลิงฉลาดเกินไปหน่อย
    แม้ว่าชื่อเรื่องจะทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหา ชื่อ War for the Planet of the Apes พอเห็นก็นึกถึง "สงคราม" ที่ไม่ใช่สงครามธรรมดา ต้องเป็นส่งครามที่เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุค "Planet of the Apes" อย่างแท้จริงด้วย แต่พอได้ดูแล้ว มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "War" ด้วยซ้ำ มีแต่ "Battle" แต่ขอบอกว่าไอ่ Battle เนี่ย "โคตรมันส์" เป็นฉากสู้รบที่ใช้อาวุธของมนุษย์ยุคนี้ ที่มันส์กว่าสงครามจักรวาลอีก เสียดายมันสั้นไปหน่อย ยังไม่อิ่มตาเลย

    ภาคนี้มีดีกว่า 2 ภาคแรกในเกือบทุกมิติครับ ฉากต่างๆที่เหมือนเอาลิงเป็นฝูงมาเล่นหนังได้จริงๆ ยังสร้างความตะลึงได้เหมือนเดิม และยิ่งไปกว่านั้นคือมี ฉากดราม่าที่ลึกมาก

    บทภาพยนต์ก็ซับซ้อนกว่าเดิม การสร้างบรรยากาศของโลกในยุคเสื่อมถอยทำได้ดีมาก บางช่วงของหนัง ผมรู้สึกหวิวๆขึ้นมาจริงๆเลยนะ แบบว่า "อารยธรรมมนุษย์จะจบสิ้นแล้วจริงๆหรือนี่"

    การดำเนินเรื่องสนุกตั้งแต่นาทีแรกถึงนาทีสุดท้ายเลยครับ นาทีกลางๆ อาจไม่มันส์เท่าแรกกับสุดท้าย แต่ก็ยังสนุกอยู่ดี

    ที่รู้สึกขัดใจหน่อยก็มีนะ ผมว่า ลิงมันฉลาดเกินไป พูดมากเกินไป เช่นบางทีสื่อสารกันเองระหว่างลิง ก็ใช้การพูดแล้ว ผมชอบภาค Dawn ช่วงต้นที่ใช้ภาษาใบ้มากกว่า และจะเปล่งภาษาคนออกมาเฉพาะเวลาสำคัญ หรือ ตอนที่สื่อสารกับมนุษย์เท่านั้น ผมว่าในยุคของซีซ่าแค่ระดับนี้จะดูสมจริงกว่า ถ้าจะถึงขั้นคุยกันเอง ไว้ยุคหลาน ยุคเหลนดีกว่า

    ไม่แน่ใจว่าจะมีภาคต่อไปอีกหรือเปล่า และจะมีช่วงเวลาที่เรียกว่า "War" for the "Planet of the Apes" จริงๆหรือเปล่า เพราะภาคนี้ได้เปิดเผยเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เชื่อว่าอาจไม่จำเป็นต้องมีสงครามแบบนั้นแล้วก็ได้

    แต่ถ้าย้อนไปดูภาค Rise จะเห็นว่ายังมีเงื่อนที่ผูกไว้ คือเรื่อง ยานอวกาศที่สูญหาย และผมไม่เชื่อว่า 3 ภาคล่าสุดนี้ (Rise, Dawn, War) จะสร้างมาเพื่อเชื่อมกับเรื่อง Planet of the Apes ปี 2001 (บทของหนังมันคนละเกรดเลยนะ) ดังนั้นก็ถือว่าเงื่อนที่ว่ายังไม่ได้คลาย จึงยังมีความหวังสำหรับภาคต่อ

    โดยสรุป คือ เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่จะมามัวนั่งคิดว่าไปดูดีหรือไม่ไปดูดี พลาดแล้วเสียใจแน่ๆครับ

    รีวิวTomorrow I will date with Yesterday's You: พรุ่งนี้ฉันจะเดตกับเธอคนเมื่อวาน : ซึ้งดี อยากแนะนำ

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ข้อเด่น - หนังทำได้ละเมียดละไม เข้าถึงความรู้สึก
    - ไอเดียพล็อตเรื่องแปลกแหวกแนว
    ข้อด้อย - ไอเดียพล็อตเรื่องแปลกแหวกแนว จนไม่มีทางเป็นไปได้
    เมื่อคืนเพิ่งได้ดูเรื่องนี้ครับ ดูแล้วก็ซึ้งดีนะครับ ใครอยู่ดีไม่ว่าดี อยากหาเรืองเสียน้ำตา ก็แนะนำว่ารีบไปจัดมา

    สิ่งที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นความละเมียดละไมของหนัง ตามสไตล์หนังญี่ปุ่น ที่ทำให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละคร รับรู้ได้ถึงความรักและความทุกข์ในใจของทั้งคู่

    อดพูดถึงไม่ได้คือ นางเอก น่ารักมาก :emb: ความจริงรู้สึกถึงความน่ารักตั้งแต่เรื่อง The World of Kanako แล้ว แต่เรื่องนั้นเล่นเป็นนางฟ้าซาตาน มาเรื่องนี้พลิกบทเป็นสาวหวาน ทำให้รู้สึกชอบได้อย่างสนิทใจ คือ นานะจัง นอกจากจะน่ารักแล้ว หน้าตายังดูมีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
    ส่วนพระเอกไม่ต้องพูดถึง (เพราะไม่ค่อยได้สังเกต :yawn:)

    จุดเด่นหนึ่งคือพล็อตเรื่องที่แปลกแหวกแนว สังเกตหนังโรแมนซ์ช่วงหลังมักชอบเล่นกับเรื่องของเส้นเวลา เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เป็นรูปแบบของเส้นเวลาที่ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่นๆ

    แต่จุดเด่นก็เป็นจุดด้อยในตัว คือความที่มัน "เป็นไปไม่ได้" ตรงนี้จึงกลายเป็นอุปสรรค์สำหรับผู้ชมที่จะคล้อยตามเนื้อเรื่อง (แม้ว่าข้างบนผมจะบอกว่าอินกับความรู้สึกของตัวละคร แต่ไม่ค่อยอินกับเนื้อเรื่องนะ) ตรงจุดนี้ถ้าพูดถึงหนังที่มีพล็อตไม่จำเจ แต่ยังรักษาความเรียลๆ แถมซึ่งกินใจ ผมคิดถึงหนังเกาหลี Achitecture 101

    ด้วยจุดด้อยนี้เลยหักไป 1 ดาว ยังเหลือ 4 ดาว ยังคงสถานะ "แนะนำ" ครับ

    โอ้ว พอไปอ่านในเน็ต พบว่าเรื่องนี้ ทำคนมึนงงอยู่เยอะเหมือนกัน อันที่จริงตอนที่เฉลย ผมก็ต้องพยายามนั่งนึกอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ผมจะอธิบายง่ายๆแบบนี้นะครับ (ไม่รู้จะช่วยอะไรหรือเปล่านะครับ ลองดูละกัน)

    คือ คิดซะว่านางเอกมีไทม์แมชชีนของโดเรม่อน ย้อนเวลาได้ สมมติวันนี้ วันที่ 7 พอเที่ยงคืน พระเอกก็เข้าสู่วันที่ 8 ใช่มั๊ยครับ แต่นางเอกนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปวันที่ 6 แทน แล้วพอหมดวันที่ 6 ก็นั่งย้อนไปวันที่ 5 อีก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

    เพียงแต่ความจริงคือนางเอกไม่ต้องเดินทางข้ามเวลาด้วยเครื่องมืออะไร และไม่ใช่อะไรที่นางเอกจะเลือกได้ คือมันย้อนโดยอัตโนมัติ

    เพราะฉนั้น ทุกๆวัน นางเอกก็จะเจอกับพระเอกที่อ่อนลง 1 วัน และยังไม่รับรู้เรื่องราวที่นางเอกเพิ่งเจอมา

    ในทางกลับกัน สมมติวันนี้วันนี่ 7 เมื่อวานวันที่ 6 พระเอกพูดอะไรบางอย่างกับนางเอกไว้ วันนี้นางเอกจะยังไม่รับรู้เรื่องที่บอกเมื่อวาน เพราะนางเอกเพิ่งย้อนเวลามาจากวันที่ 8 เดี๋ยวพอหมดวันนี้ (วันที่ 7) นางเอกจึงจะย้อนไปวันที่ 6 เพื่อไปรับรู้เรื่องราวที่พระเอกบอก

    เข้าใจแค่นี้พอครับ ส่วนที่เหลือ อยากจะให้มันเป็นอย่างไง ก็จินตนาการเอาตามสบายเลยครับ ไม่ต้องซีเรียส เพราะ บางอย่างหนังก็ไม่ได้บอก หรือบอก ก็ไม่ชัดเจน หรือ บางทีหนังมันก็ขัดแย้งกันเอง

    ตอนดู แอบบรู้สึกว่าไม่แฟร์เลย ทำไมไม่มีตอนที่พระเอกรู้เรื่องแล้วต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ถอยหลังไปเรื่อยๆบ้าง มีแต่ช่วงที่นางเอกต้องแบกรับความรู้สึกนี้อยู่คนเดียว แต่คิดอีกที ถ้าหนังทำแบบนั้นก็คงน่าเบื่อแย่ จินตนาการเอาเองว่าคงจะมีละกัน

    Update: หลังจากดูรอบสอง ผมแก้จาก 4 ดาวเป็น 5 ดาวเลยละกัน คือสารภาพแบบแมนๆเลยว่า ดูรอบแรกแค่น้ำตาซึม แต่ดูรอบสอง น้ำตาแตก อาจเป็นเพราะรอบแรกมีช่วงที่มัวนั่งทำความเข้าใจกับเรื่องเวลาที่สวนทางกัน แต่รอบสองนี่สมาธิอยู่กับเนื้องเรื่องเต็มที่เลย

    รีวิวAvatar : ตรึงอยู่ในใจ

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    หนังแนว Sci-fi ผมจะเน้นที่จินตนาการ และคุณภาพของงานสร้าง ซึ่งเรื่องนี้ บอกได้เลยว่า "จัดเต็ม" ทั้ง 2 อย่าง

    ความสร้างสรรค์ที่ว่าได้แก่:

    สร้างสรรค์ 1. แนวคิดร่างอวตาร สุดยอดแนวคิด พาจินตนาการของเราลอยไปไกลตกขอบจักรวาลกันเลย คือด้วยเทคโนโลยี เราเป็นอะไรก็ได้ (ถ้ามีตังค์นะ) และถ้าคิดให้เลยเถิดกว่านั้น สิ่งที่เราเป็นอยู่ อาจไม่ใช่เรา แท้จริงเราอาจนอนอยู่ที่ไหนซักแห่งหรือเปล่า และเมื่อร่างปัจจุบันของเราหมดอายุ ชาติใหม่ของเราคือเราไปอยู่ร่างใหม่พร้อมลบความทรงจำหรือเปล่า? หรือนี่คือหลักอนัตตาที่พระพุทธเจ้าพยายามจะสอนเรา

    สร้างสรรค์ 2. ภูมิประเทศอลังการ ภาพยนต์เป็นศิลปะอยู่แล้ว แต่การสร้างสรรค์ภูมิประเทศในหนัง Sci-Fi ผมว่ามันเป็นงานศิลปะอีกรูปแบบหนึ่งเลยนะ คือเห็นแล้วอยากไปเที่ยว

    สร้างสรรค์ 3. ไม่เพียงแต่ภูมิประเทศ ทีมผู้สร้างยังคิดต่อว่า สิ่งมีชีวิตบนดาวแบบนั้นจะมีวิถีการดำรงอยู่อย่างไง ปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร

    สร้างสรรค์ 4. ยุทโธปกรณ์ ยานยนต์ อาวุธทั้งหลาย ล้ำๆทั้งนั้น ได้ใจมาก

    สร้างสรรค์ 5. รูปแบบ ยุทธวิธีการประจัญบาน มันส์มากกกก ฉากที่กองทัพวิหคต่างดาว ปะทะยานรบหุ้มเกราะ และอีกหลายๆฉาก (ที่เล่าไม่ได้เพราะเกรงจะสปอย) ยังตรึงอยู่ในใจผม

    สร้างสรรค์ 6. อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง Sci-Fi คือ "พล็อตเรื่อง" ที่ดูเหมือนมองไปข้างหน้า แต่จริงๆคือภาพสะท้อนสิ่งที่อยู่ข้างหลัง พูดง่ายๆ จะกระทบกระทียบพวกผิวขาวที่เข้าไปรุกราน เบียดเบียนอินเดียนแดงในแผ่นดินอเมริกา แต่แทนที่จะสร้างเป็นหนังแนวประวัติศาสตร์ กลับสร้างเป็นหนังอนาคตแทน ข้างหน้าคือข้างหลัง "หนังเรื่องอวตาร" ก็คือ "อวตาร" ของประวัติศาสตร์นั่นเอง

    เป็นปกติในหนังที่ โลก มักถูกต่างดาวรุกราน แต่เรื่องนี้พลิกเป็นมนุษย์โลกไปรุกรานดาวดวงอื่น ผมก็แอบคิดเอาเองว่า มันไม่ใช่แค่ให้ดูแปลก แต่แฝงจุดประสงค์ให้คนดูแล้วสะท้อนกลับมาที่ตัวเองได้ง่ายขึ้นว่า มันเป็นอย่างไง เวลาที่พวกตัวเองไปรุกรานคนอื่นเค้า


    ในบรรดาหนัง Sci-Fi ทุนหนา แน่นอนว่างานสร้างย่อมออกมาดีทั้งนั้น แต่ "จิตนาการ" คือเส้นที่แบ่ง "หนัง Sci-Fi คุณภาพในตำนาน" ออกจาก "หนัง Sci-Fi เกรด B" ที่ได้แต่เกาะชื่อเสียงของภาคก่อนๆโดยไม่ได้คิดสร้างสรรค์อะไรใหม่เลย

    อวตารภาคใหม่น่าจะเข้าฉายปลายปีนี้ ก็ยังลุ้นอยู่ว่าจะตื่นตา ตื่นใจเหมือนภาคแรกหรือเปล่า แต่ก็ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี เนื่องจากชื่อ "เจมส์ คาเมรอน" ยังไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง

    รีวิวPrometheus : ชอบที่สุดคือ พล็อตเรื่อง

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    แม้ว่าหนัง Alien กับ Predator ที่ถูกสร้างก่อนหน้านี้จะมีการนำมาเชื่อมโยงกันใน Alien vs Predator แต่ก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ หนัง Marvel ที่เอาซุปเปอร์ฮีโร่มาเจอกัน บางครั้งรู้สึกว่ามันเลอะเทอะด้วยซ้ำ แต่ Prometheus คือส่วนที่เข้ามาพลิกภาพรวมทั้งหมดจากความเลอะเทอะ เป็นอะไรที่ลึกลับ ซับซ้อน และน่าค้นหา

    พล็อตของเรื่องนี้มันน่าขนลุกครับ คือทำให้รู้สึกว่า มนุษย์นั้นช่างน้อยนิด ทว่าจักรวาลช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน อะไรที่เรายังมองไม่เห็น ไม่ใช่เพราะมันเล็กและซ่อนอยู่ในซอกเหลือบ แต่เพราะมันยิ่งใหญ่จนกินกว่าที่สายตาคู่เล็กๆของเราจะมองเห็นต่างหาก

    รีวิวAliens ฝูงมฤตยูนอกโลก : หนัง 30 ปียังแจ๋ว

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ตั้งแต่ ผมโตพอที่จะรู้จักดูหนัง ภาค 2 นี่ก็เป็น Alien ภาคแรกที่ผมได้ดูครับ (จากทางทีวี) แล้วผมก็ดันเข้าใจมาตลอดว่าภาคนี้คือภาคแรก พอดีช่วงนี้มี Alien ภาคใหม่ออกมา เลยต้องไปหาภาคเก่าๆ มาดูเพื่อลำดับเหตุการณ์ ถึงได้รู้ว่านี่มันภาค 2 นิหว่า อย่างไรก็ตาม หลังย้อนดูจนครบทั้ง 4 ภาคแล้ว ผมก็ได้ค้นพบว่า ภาค 2 นี้มีความพิเศษของมันอยู่ จนดูโดดเด่น แปลกแยกจากภาคอื่นๆ นั่นคือเป็นภาคที่มันส์มากๆ คุณภาพงานสร้างนั้นแตกต่างจากภาคอื่นโดยสิ้นเชิง และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะเป็นภาคเดียวที่กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน

    ก่อนที่จะเปิดดูย้อนหลัง ผมก็ทำใจไว้ก่อน คือ หนัง Sci-Fi ที่สร้างเมือ 30 กว่าปีที่แล้ว (ออกฉายปี 1986) จะเอาอะไรมากมาย แต่ผิดคาดครับ ยังมันส์ ยังสนุกได้อีก การถ่ายภาพ แสงเงา แจ่ม ยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ยังดูล้ำอยู่ จะมีแค่ทรงผมของนางเอก กับ ระบบ user interface ของคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเป็นหนังยุคเก่า ถึงตอนนี้รู้สึกเลยว่า ฝีมือของผู้กำกับมีผลแค่ไหนต่อคุณภาพของหนัง เอาจริงๆผมว่าสนุกว่าหนังฟอร์มยักษ์บางเรื่องที่เพิ่งออกฉายไม่กี่ปีมานี้ด้วยซ้ำ

    มีจุดที่ดูแล้วรู้สึกจะขัดสายตาอยู่ คือ บทของน้องเด็กผู้หญิงในเรื่อง รู้สึกบุคคลิกจะเปลี่ยนเร็วไปหน่อย ไม่ค่อยสมจริง

    ถ้าใครคิดจะดูย้อนหลัง นอกจาก ภาค 2 ที่ดูสนุกที่สุดแล้ว ผมก็แนะนำดูแค่ ภาค 1 อีกภาค เพราะเป็นภาคที่เขียนและกำกับโดย Ridley Scott ดังนั้นเนื้อเรื่องจะมีการเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆของผู้กำกับคนนี้ เช่น Prometheus และ Alien ภาคล่าสุด (หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า Alien, Prometheus และ Predator ล้วนสร้างขึ้นจากจินตนาการของ Ridley Scott และเนื้อเรื่องมีการเชื่อมโยงกัน ใครที่สนใจ หาอ่านภาพรวมทั้งหมดได้ในกระทู้ของคุณหลวงจีนหอไตรในพันทิปได้ครับ เขียนไว้ค่อนข้างละเอียด

    ส่วนภาค 3,4 ผมว่างั้นๆ ไม่ดูก็ไม่เป็นไร เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆของ Ridley Scott

    รีวิวTitanic : เพลงเพราะ ลุ้นตอนท้าย

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้าโรง ตอนนั้นปังมากๆ ได้ยินว่ามีบางคนเข้าไปดูในโรงถึง 20 กว่ารอบ (หรือมากกว่า จำไม่ค่อยได้) ผมก็แอบหมั่นไส้เล็กๆ เพราะโดยรวมแล้วผมรู้สึกเบื่อๆตอนช่วงต้นเรื่อง แล้วมาตื่นเต้นเอาตอนท้ายๆที่เรือกำลังจะจม ซึ่งก็ทำได้สมจริง พาคนดูเข้าสู่อารมณ์ตอนเรือแตกได้ดีทีเดียว ที่ประทับใจทีสุดคงจะเป็นเพลง My Heart Will Go On มันตรึงเข้าไปในใจเลย ผมคิดว่าความปังของเรื่องนี้ 80% มาจากเพลงนี่แหละ

    การสร้างสรรค์เรื่องราวโรแมนติกขึ้นมาโลดแล่นบนเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น ก็เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมครับ คนดูได้ทั้งความบันเทิง และรายละเอียดข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆกัน ซึ่งผู้สร้างทำการบ้านมาดีมาก ลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียด เวลาอะไรเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงชน ชนแล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเหลือรอดมาน้อย จำลองสถานการณ์มาให้ดูอย่างได้อารมณ์มาก ทุกอนูของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ถูกใส่เข้าไปหนังอย่างละเมียดละไม เรียกได้ว่า ดูหนัง แต่ได้ความรู้เหมือนดูสารคดี

    การถ่ายภาพก็งดงาม ใช้สีอุ่นๆ ล้อกับโทนเรื่องที่โรแมนติกแบบพอดีเป๊ะ

    ภายหลังผมมีโอกาสได้ดูซ้ำ ก็รู้สึกว่าช่วงต้นเรื่อง ก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้นนะ ก็ถือว่า ok อยู่ แต่ก็ยังไม่อินกับความรู้สึกของคู่พระนางอยู่ดี คือรู้สึกว่าก็แค่อารมณ์ประสาวัยรุ่นอ่ะ ผมยังแอบคิด ถ้าเรือไม่ล่ม สองคนขึ้นฝั่งแล้วหนีไปด้วยกัน 2-3 อาทิตย์ก็คงใส่ converse ทางใครทางมันกันแล้ว :ahaah:

    สรุปก็คือแนะนำให้ดู แค่เพลงอย่างเดียว ก็เป็นอะไรที่ห้ามพลาดแล้วครับ

    รีวิวGuardians of the Galaxy (2014) รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล : ไม่อยากเชื่อ สนุกหว่า

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ฟินมากเลยครับ ผมพลาดไปจริงๆ เพราะภาพลักษณ์ของเรื่องนี้ในหัวผมก่อนดู จะเป็นหนังประเภทบ้าๆบอๆ เหมาะกับให้เด็กประถมดู แล้วก็เข้าใจว่าเป็นหนังยอดมนุษย์ด้วย โชคดีที่ตามรอยรีวิวไปหามาดูจึงได้รู้ว่าเข้าใจผิดหมดเลย 1. มันไม่ใช่หนังยอดมนุษย์ เป็นหนังสงครามอวกาศ + ขำๆ 2.มันเป็นหนังที่สนุกมาก (แม้จะสำหรับผู้ใหญ่ก็เถอะ)

    สิ่งที่ผมมองหาใน The Force Awakens ไม่เจอ แต่ได้มาเจอในเรื่องนี้ คือ "ความคิดสร้างสรรค์" ไม่ว่าจะเป็นเมือง ยานพาหนะ อาวุธ ยุทธวิธี รูปแบบของเอเลี่ยน มันทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ฉากต่อสู้ ฉากล้างผลาญ ตื่นเต้น สนุกใช้ได้เลย

    จริงๆแล้วหนังแนวนี้ ผมชอบให้เป็นแนวจริงจัง แนวตำนาน แบบ Star Wars มากกว่าที่จะเป็นแนวขำๆ แบบเรื่องนี้ แต่ก็ต้องเข้าใจครับว่าต้องทำอะไรให้แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วมุขเค้าก็ขำจริงๆ

    ภาค 2 ออกมา ไปดูแน่นอน

    รีวิวI am Legend | ไอ แอม ลีเจ้นด์ ข้าคือตำนานพิฆาตมหากาฬ : หนังซอมบี้ในดวงใจ

    ให้คะแนน:
    5/5,
    (สุดยอด)
    ถ้านับเฉพาะหนังซอมบี้ที่เป็นหนังโรงแล้ว ผมชอบเรื่องนี้ที่สุด อาจเป็นเพราะพล็อตเรื่องที่มีเอกลักษณ์ คนหนึ่งคนกับหมาหนึ่งตัวในมหานครร้าง ท่ามกลางเหล่าซอมบี้ และวิถีชีวิตที่แปลกประหลาด มันสะท้อนความสร้างสรรค์ของผู้เขียนบทอย่างชัดเจนมาก การดำเนินเรื่องก็เป็นไปอย่างน่าติดตาม ฉากดราม่าสะเทือนใจก็เป็นอีกทีเด็ดของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้จนบัดนี้มันยังตรึงอยู่ในใจผม มันช่างฉีกตัวออกจากหนังซอมบี้อื่นๆได้อย่างโดดเด่นจริงๆ

    รีวิวThe Revenant : ต้องรอด

    ให้คะแนน:
    4/5,
    (แนะนำ)
    เป็นหนังแนว Survival ครับ ชื่อภาษาไทย "ต้องรอด" ผมว่าตั้งได้เหมาะเจาะตามแนวของหนังจริงๆ สิ่งที่ผมไม่ชอบสำหรับหนังแนวนี้คือ พล็อกเรื่องที่เรียบง่าย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆในแนวเดียวกันอย่าง Cast Away, The Shallow, 127 hours เรื่องนี้มีบทเยอะกว่าพอควรเลยแหละ เพราะมีประเด็นเรื่องการแก้แค้นคนชั่วเข้ามาร่วมด้วย

    ในทางกลับกัน สิ่งที่ผมชอบในหนังแนวนี้คือ การได้คอยเอาใจช่วยตัวเอกให้เอาตัวรอดจากอุปสรรคให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้ดีเช่นกัน ลุ้นตลอด ไม่มีเบื่อเลย

    ดูเผินๆอาจเป็นหนังที่ไม่ต้องใช้เทคนิคถ่ายทำมาก แต่จริงๆแล้วผมว่าเทคนิคเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย ฉากที่หมีขย้ำคนนี่ผมยังสงสัยอยู่ว่าเค้าถ่ายทำอย่างไง มันเหมือนจริงมากๆ (ฉากที่ขี่ม้าตกเหวก็เช่นกัน)

    ในส่วนของทิวทัศน์ ภูมิประเทศ ก็งดงาม จับใจมาก เห็นแล้วอยากไปเที่ยว (แต่กลัวหมี กับหนาวตายก่อน)

    โดยสรุป เรื่องนี้ดูสนุกครับ แนะนำๆ
  • เกี่ยวกับ

    เป็นคนชอบใช้เวลาว่าง ดูหนัง ดูซีรีย์ เล่นเกมบ้างบางครั้งครับ แต่สิ่งที่ล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็คือการออกท่องเที่ยวปีล่ะ 1-2 ครั้ง ส่วนใหญ่ไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า เพราะอยากไปเห็นอะไรที่แตกต่างครับ

    เป็นคนช่างเลือกพอสมควร จะให้ 5 ดาวไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ยกตัวอย่างเช่น สถานที่ๆว่าสวยนั้น ผมแบ่งเป็น 2 ระดับ คือระดับที่ๆความสวยรับรู้ได้แค่ตา และอีกระดับคือความสวยนั้นรู้สึกเข้าไปถึงใจเลย ซึ่งการเยี่ยมเยือนสถานที่เหล่านี้นี่แหละครับคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษของชีวิต

    รสนิยมการท่องเที่ยวคือวางแผนและไปกันเอง ไปกับพี่สาวและคุณพ่อเป็นส่วนใหญ่ เมื่อออกทริปหลายๆครั้ง เราก็เริ่มรู้จักรสนิยมของตัวเองมากขึ้น คือนอกจากจุดหมายต้องสวยจับใจแล้ว การเดินทาง ที่พักก็ต้องสะดวกสบายด้วยครับ มันถึงจะสามารถเติมเต็มให้เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ อย่างไรก็ตามเรายังเลือกที่จะท่องเที่ยวอย่างประหยัดด้วย ทริปแต่ละครั้งของเราถูกกว่าไปกับทัวร์แน่นอนครับ