1. จะบินตรง แทนที่จะไปเปลี่ยนเครื่องระหว่างทาง เพื่อให้ทริปมันราบรื่น สะดวกสบายที่สุด ดูรายละเอียดได้ใน รีวิว Srilankan Airlines ว่าทำไมผมถึงไม่แนะนำเดินทางด้วยสายการบินนี้ 2. จะไม่ซีเรียสว่าต้องนั่ง Seaplane เห็นหลายท่านแนะนำกันมาก แต่เท่าที่ผมประสบมา วิวมันก็ไม่ได้สวยอลังการอะไรมากมาย เทียบกับชายหาดขาวๆ น้ำทะเลใสๆ ปะการังสวยๆที่รีสอร์ท วิวบน Seaplane เป็นแค่ขี้ฝุ่นครับ ไม่คุ้มกับเงินเป็นหมื่นที่เสียไป Spoiler (แต่สำหรับบางท่าน เงินหมื่นก็อาจถือว่าไม่เท่าไหร่ ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ละกันครับ ) แต่ประเด็นคือ รีสอร์ทดีๆที่ปะการังสมบูรณ์ด้วย ราคาไม่แพงเกินไป และอยู่ใกล้พอที่จะนั่งสปีดโบ๊ทได้ ก็มีไม่มากนักนะครับ ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องนั่งเพราะรีสอร์ทมันอยู่ไกลก็ต้องยอม แต่จะไม่จงใจไปนั่งเพื่อชมวิวครับ 3. จะไม่ซีเรียสว่าต้องเป็น Water Bungalow เพราะเท่าที่ไปเห็น Beach Bungalow มันก็ได้อารมณ์อีกแบบ Water Bungalow จะมีข้อดีที่แน่ๆ คือความเป็นส่วนตัวสูงกว่า ส่วน Beach Bungalow ก็ดีตรงที่ได้สัมผัสกับหาดทรายขาวละเอียดหน้าบ้านเลย ตัดกับน้ำทะเลสีครามใสแจ๋ว เรื่องความเป็นส่วนตัวของ Beach Bungalow ขึ้นกับวิธีการจัดวางบังกะโลของแต่ละรีสอร์ทครับ 4. จะทำการบ้านให้มากขึ้นเพื่อเลือกห้องที่สามารถเข้าถึงปะการังได้ง่่ายๆ การมีที่พักติดหาด มีความเป็นส่วนตัว เป็นสิ่งที่พอหาได้ในรีสอร์ทหลายๆแห่งในเมืองไทย แต่จุดเด่นที่สุดของมัลดีฟส์ที่ๆเมืองไทยหาไม่ได้ คือ การมีปะการังที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์น้ำหลากหลาย อยู่หน้าที่พัก จะลงไปดำน้ำดูเมื่อไหร่ก็ได้เลย มามัลดีฟส์ ยิ่งดำน้ำบ่อย ยิ่งคุ้มครับ แต่ถ้าปะการังสวยๆมันไม่ได้อยู่หน้าบ้าน มันจะเป็นหนังคนละม้วนเลย เราจะต้องมีการนัดแนะกันว่าจะไปตอนไหน สุดท้ายมีโอกาสได้ไปดำแค่ไม่กี่ครั้ง หรือ อาจไม่มีโอกาสเลย เพราะเจออุปสรรค์ต่างๆ เช่น มีลมฝน 5. เมื่อไปถึง ช่วงที่แดดดี จะทำอะไรก็จะรีบทำ จะถ่ายรูปก็รีบถ่าย จะดำน้ำก็รีบดำ จะไม่กลัวร้อน ไม่คิดว่าอยู่อีกหลายวัน แล้วมัวหลบอยู่ในห้อง เพราะเวลาที่ฟ้าเปิด แดดแรง คือช่วงเวลาที่สวยทีสุด เหมาะกับการทำกิจกรรม ดินฟ้าอากาสเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ถ้าเกิดฟ้าปิด มีลมฝน จะดำน้ำก็ไม่กล้า จะถ่่ายรูปก็ออกมาไม่สวย 6. ถ้าไปถึงแล้ว จะรีบทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ดำน้ำ เพราะบางทีอุปกรณ์อาจไม่เหมือนที่เมืองไทย คือเคยไปดำ Snockel ในเมืองไทยหลายครั้ง ไม่มีปัญหานะ แต่พอมาที่นี่ ผมเจอน้ำเข้าปากตลอด ส่วนพี่สาวผม หนักเข้าไปอีก เจอน้ำเข้าจมูก แต่พอปรับไปปรับมา ก็เริ่มดีขึ้นครับ 7. จะยังคงไป 4 วัน 3 คืนเหมือนเดิม เพราะ ถ้า 3 วัน 2 คืนมันสั้นเกินไป แป๊บๆก็กลับแล้ว 8. จะลองพิจารณาจองแบบ Half Board ดูบ้าง อาหารที่มัลดีฟส์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยถูกปาก (เดาว่าไม่ถูกปากคนไทยส่วนใหญ่ด้วย) อาจเอามาม่าไปกินซักมื้อนึง ส่วนน้ำก็กินแต่น้ำเปล่าก็ได้ เพราะปกติอยู่เมืองไทยก็กินแต่น้ำเปล่าอยู่แล้ว ที่เพิ่งไปมาน้ำเปล่าขนาด 1.5 ลิตร ราคาประมาณ $4.27 (ราคาอาจต่างกันในแต่ละรีสอร์ท) การเลือกแบบ Half Board ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง และมีตัวเลือกมากขึ้นจากเว็บรับจองโรงแรมต่างๆ (adoda, booking.com, expedia) หรือจองกับทางรีสอร์ทโดยตรง (ครั้งที่ผ่านมาผมติดที่พยายามเอาแบบ All Inclusive เพราะกลัวงบบาน ถ้าเป็นแบบ All Inclusive เปรียบเทียบแล้ว โปรที่ได้จากเอเยนซี่จะถูกกว่าเว็บรับจองโรงแรม แต่ตัวเลือกมีน้อยกว่า) 9. จะใส่ใจกับการทากันแดดให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็อาจจะใส่เสื้อลงไปดำน้ำเลย เพราะแดดแรงกว่าที่คิด บางทีก็คิดว่าลงไปเล่นน้ำหน้าห้องแป๊บเดียว เลยไม่ได้ทา แต่เล่นไปเล่นมาก็นานเหมือนกัน เอาหมวกไปด้วย คือไปมัลดีฟส์ต้องพร้อมลุยแดดครับ 10. จะเอาหนังสือไปอย่างมาก 1 เล่มพอ เพราะผมเป็นคนที่เห็นวิวสวยๆอยู่ตรงหน้าแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือไม่ลง จะเอาไปเผื่อว่าเจอฝนตกทั้งวันทำอะไรไม่ได้เลยเท่านั้น (อย่างที่เจอคราวนี้) 11. จะเอาเลนส์เทเลไปด้วย เพราะอยู่ที่ระเบียงห้องมีอะไรหลายอย่างให้ส่อง ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น / พระอาทิตย์ตก บังกะโลที่อยู่ไกลๆ นกที่บินอยู่ เรือที่จอดอยู่ ฯลฯ 12. ถ้ารีสอร์ทไม่มี Wifi ให้ที่ห้อง ผมจะซื้อซิมโทรศัพท์จากที่สนามบินตอนที่มาถึง ไม่ใช่เพราะติดโซเชี่ยวอะไรนักหนา แต่การมีเน็ตใช้มันทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะ บางทีอยากค้นหาว่าคำๆ นี้ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าอะไร บางทีอยากส่งรูปให้ที่บ้านดู หรือว่างๆก็เปิด youtube ดูได้ 13. ขากลับถ้าเดินทางมาถึงสนามบินแล้ว ยังเหลือเวลาก่อนขึ้นเครื่องเยอะ ผมอาจเลือกทำ 2 อย่างต่อไปนี้ A. ทำเหมือนครั้งที่ผ่านมา คือจองโรงแรมแบบ Day Use บนเกาะสนามบิน โดยเดินไปที่ infomation แล้วเค้าก็ติดต่อให้ เสียไป $90 สำหรับ 2 ห้องนอน (3 คน) 4 ชั่วโมง พร้อมรถรับส่งสนามบิน พร้อมผ้าเย็นและน้ำส้มเย็นๆ Spoiler: ข้อมูลติดต่อโรงแรมที่ใช้บริการมา ชื่อโรงแรมคือ Velimaa Beach นะครับ Sunset Maldives เป็นชื่อบริษัท เห็นเค้าว่ามีโรงแรม 2 แห่ง ลืมถ่ายรูปห้องมา แต่ลักษณะก็จะเป็นคล้ายๆ Guest House ห้องสะอาด มี wifi , ห้องน้ำ, ผ้าเช็ดตัว, แอร์ ถ้านอนชั่วคราว หรือ คืนนึงผมว่าโอเคครับ อันนี้ผมไปที่ information ของสนามบินแล้วให้เค้าติดต่อให้ รออยู่พักนึง แล้วเจ้าของเค้าก็ขับรถเก๋งมารับ ใช้เวลานั่งรถไปถึงโรงแรมเค้าประมาณ 10 นาที ไปถึงมีบริการผ้าเย็น พร้อมน้ำส้มเย็นๆ มาต้อนรับ ก็รู้สึกชื่นใจดีเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าถ้าติดต่อกับเจ้าของเค้าโดยตรงจะได้ราคาถูกกว่าหรือเปล่า อย่าลืมสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนตกลงนะครับ ของผมนี่ถามที่สนามบินก่อนเลย ว่ามีเตียงให้ 3 เตียงใช่มั๊ย แต่พอไปถึง กลับเป็นเตียง double เตียงเดียว เราก็ท้วงไป ลูกน้องเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวไปปรึกษาเจ้านายก่อน (เจ้านายพาเรามาส่งแล้วก็ขับรถออกไป) ซักพักก็มาเปิดให้อีกห้องครับ ก็ดูไม่น่าจะตั้งใจ คงจะสื่อสารกันผิดพลาดมากกว่า B. ฝากของไว้ที่ห้องรับฝาก อัตราค่ารับฝากอยู่ที่ $5 กับ $10 แต่ไม่รู้ว่าหลักเกณฑ์คืออะไร ฝากแล้วก็ไปหาที่เดินเที่ยวในมัลเล่ เมืองหลวงของมัลดีฟส์ วิธีเลือกรีสอร์ท นอกจากการอ่านรีวิวต่างๆที่มีคนมาแชร์แล้ว ผมจะค้นรีสอร์ทจากหน้าเว็บนี้ Find Resort, All Resort in Maldives จะมีฟิวเตอร์ต่างๆ ให้ตั้ง เพื่อกรองเอาเฉพาะรีสอร์ทที่ตรงตามความต้องการของเรา เช่น Resort features > Distance from Airport เลือก below 20 Km, และ 21-50 Km ก็จะได้ที่อยู่ไม่ไกลเกินไป พอนั่งสปีดโบ๊ทได้ Resort features > Reef type เลือก 3 หรือ 4 ก็จะได้ที่มีปะการัง 3/4 ของเกาะ หรือ มี 4/4 (มีรอบเกาะเลย) Category and Level Rate ก็จะเลือกระดับดาว และ ระดับความแพง ของโรงแรม นอกจากนี้อาจดูค่า Reef Vote ของรีสอร์ทแต่ละแห่งเพิ่มเติมในหน้านี้ Resort in the Maldives, Classification of all Resorts วิธีเลือกห้อง เมื่อได้รรีสอร์ทที่สนใจแล้ว ผมก็จะเอาชื่อรีสอร์ทนั้นไปค้นรีวิวใน Tripadvisor แต่ละแห่งจะมีคนรีวิวอยู่เพียบ ผมจะอ่านเพื่อหาข้อมูลว่าปะการัง (Reef) ช่วงที่สวยๆ อยู่ด้านไหน พร้อมกับเปิด Google Map (Earth View) ของรีสอร์ทนั้นประกอบเพื่อดูว่า บังกะโลแต่ละแบบอยู่ทิศไหนบ้าง หาดทรายอยู่่ด้านไหน ถ้าจะดูพระอาทิตย์ตก หรือ ขึ้น ต้องจองห้องพักด้านไหน แต่แน่นอนที่สุด ผมจะเลือกห้องที่ใกล้ปะการัง ถ้าได้ใกล้หาดทรายด้วยยิ่งดี มันเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราตลอดเวลา ส่วนพระอาทิตย์ขึ้นลง ก็แค่ชั่วขณะ (เวลาอ่านรีวิวใน Tripadvisor ถ้าเค้าพูดถึง Reef side คือด้านขอบๆของเกาะบริเวณที่มีปะการัง ส่วน Lagoon side คือส่วนตรงกลางเกาะที่เป็นแอ่ง และมักไม่มีปะการัง) ถ้ายังไม่แน่ใจ ผมอาจเมลไปสอบถามกับทางโรงแรมโดยตรง พร้อมทั้งลองขอให้ส่งเมนูอาหารที่มีระบุราคาให้ด้วย จะได้เลือกถูกว่าควรเลือก Meal Plan ที่คุ้มที่สุด หรือถ้าจะจองกับเอเย่นซี่ ก็ถามกับทางนั้นก่อนจอง